1. ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร “มาตรา 76 ทวิ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมีลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ประกอบกิจการในประเทศไทย และให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว ในกรณีที่กล่าวในวรรคแรก ถ้าบุคคลผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ได้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา 71 (1) มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีการประเมินตามความในมาตรานี้จะอุทธรณ์การประเมินก็ได้” จากบทบัญญัติดังกล่าว กรณีที่กฎหมายจะถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ (1) เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และ (2) มีลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย และ (3) เป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย
2. ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 2/2526 เรื่อง ภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2526 คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้วินิจฉัยว่า กรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในประเทศไทย โดยบุคคลในประเทศเป็นผู้ดำเนินการแนะนำให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ขายสินค้าในต่างประเทศโดยทั่วไป ทั้งนี้ โดยบุคคลในประเทศมิได้กระทำการให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ขายสินค้าในต่างประเทศบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด หรือกลุ่มใดโดยเฉพาะ ดังนี้ “ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในประเทศโดยบุคคลในประเทศเป็นผู้ดำเนินการแนะนำให้ผู้สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ถ้าบุคคลในประเทศได้ประกอบธุรกิจอย่างเป็นอิสระจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศดังกล่าว โดยปรากฏว่า (1) ในทางปฏิบัติ บุคคลในประเทศได้กระทำการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนเพื่อการขายสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่าง ๆ ในต่างประเทศเป็นการทั่วไปโดยมิได้กระทำให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศแห่งใดแห่งหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะหรือเป็นส่วนใหญ่ และ (2) ไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างบุคคลในประเทศกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิบุคคลในประเทศในการกระทำการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนเพื่อการขายสินค้าประเภทเดียวกันกับบุคคลอื่นในต่างประเทศและในทางปฏิบัติไม่เคยปรากฏว่ามีการจำกัดสิทธิเช่นนั้น และ (3) ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว บุคคลในประเทศมิได้รับประโยชน์อย่างอื่นจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศ เว้นแต่ค่านายหน้าสำหรับการซื้อขายสินค้าแต่ละคราวเท่านั้น และ (4) ในการซื้อขายสินค้า ผู้ซื้อสินค้าได้ชำระหรือจะได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ขายสินค้านั้นโดยตรง กรณีเช่นนี้ พึงเข้าใจได้ว่า บุคคลในประเทศมิใช่เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในต่างประเทศ “มี” ในการประกอบกิจการในประเทศไทยตามความในมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร คำว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” หมายความถึง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามคำนิยามในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร”
ต้อข้อถาม ขอเรียนว่า กรณีตามข้อเท็จจริงบริษัทฯ ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ และคลังสินค้า บริษัทฯ เป็นผู้จำหน่ายสินค้าซอส เช่น ซอสเทอริยากิ ให้กับประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับค่าตอบแทนเป็น % จากยอดจัดจำหน่ายในไทย เข้าลักษณะเป็นนายหน้าตัวแทนของบริษัทในประเทศญี่ปุ่น จึงต้องพึงศึกษาเรื่องการเสียภาษีเงินได้ของบริษัทญี่ปุ่น ตามนัยมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 2/2526 เรื่อง ภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2526 ให้ละเอียดถี่ถ้วน เพราะหากเป็น “ตัวแทน” ที่ต้องเสียภาษีเงินได้แทนบริษัทในประเทศญี่ปุ่น ก็อาจได้ไม่คุ้มเสีย “หากกรณีการดำเนินการของบริษัทฯ ที่ได้ทำการติดต่อในการซื้อขายสินค้าระหว่างผู้ซื้อในประเทศกับผู้ขายในต่างประเทศ ไม่เข้าลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจอย่างเป็นอิสระจากบริษัทในต่างประเทศ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 2/2526 เรื่อง ภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2526 ถือว่าบริษัทฯ เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อให้แก่บริษัทต่างประเทศ เมื่อบริษัทต่างประเทศได้รับชำระค่าสินค้า ย่อมมีเงินได้หรือกำไร บริษัทฯ มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแทนบริษัทต่างประเทศเฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศ ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยเสียภาษีในอัตราร้อยละ 30 จากกำไรสุทธิ”
(หนังสือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0811/พ.09658 ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2542
กรณีบริษัทฯ นำเข้าสินค้าเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการนำเข้า มีใบเสร็จจากกรมศุลกากร ชื่อที่ออกก็เป็นชื่อบริษัท ใบขนสินค้าก็ดำเนินการในชื่อบริษัท ภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯ ไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีได้ตามปกติ เพราะไม่ใช่ภาษีซื้อของบริษัทฯ เว้นแต่บริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงลักษณะการประกอบธุรกิจ เป็นผู้ซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำมาขายเองในประเทศไทย ก็ย่อมนำภาษีซื้อมาเครดิตหักจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |