Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

คำจำกัดความ "สัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ"


เรื่อง คำจำกัดความ "สัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ"
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 18/06/2024 - วันที่ตอบ 19/06/2024
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ข้อกฎหมาย มาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา
คำว่า "สัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ" ตามมาตรา 40 (7) มีคำจำกัดความหรือคำพิพากษาไหมครับ ว่าต้องประมาณกี่ % ของค่าจ้าง กรณีแม่บ้านเงินเดือน 7,000 บาท ต้องจัดหาน้ำยาทำความสะอาดหลัก 100% ถือว่าเป็นสัมภาระในส่วนสำคัญไหมครับ


สุเทพ พงษ์พิทักษ์
5 พฤษภาคม 2020 
Inbox: อังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 15:33 น.
คุณ Niparat Nakasuwan
กรณีผู้เสียภาษีเป็นบุคคลธรรมดา อยู่ในระบบภาษีมูลดาเพิ่ม มีเงินได้จากการเป็นแม่บ้านทำความสะอาดของบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่มีประกันสังคม รับค่าจางเป็นรายเดือน บริษัทฯ หัก ณ ที่จ่ายเป็นค่าบริการ 3% กรณีนี้ต้องยื่นแบบ ก.ง.ด.91 หรือว่า 90 คะ สำหรับหัก ณ ที่จ่าย ต้องนำส่ง VAT หรือไม่ 


สุเทพ พงษ์พิทักษ์ วิสัชนา:

1. กรณีผู้มีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดา เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้รับเงินได้เป็นค่าสินจ้างจากการให้บริการเป็นแม่บ้าทำความสะอาดจากบริษัทแห่งหนึ่ง นั้น
    (1) กรณีผู้มีเงินได้ไม่ต้องจัดหาสัมภาระในการทำความสะอาด เข่าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร 
    (2) กรณีผู้มีเงินได้ต้องจัดหาสัมภาระในการทำความสะอาดเป็นรายเดือน เช่น น้ำยาทำความสะอาด เป็นต้น เข้าลักษณะเป็นเงินได้จากการรับเหมาที่ต้องจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ ตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องคำนวณหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% ของคำบริการ เช่นนี้ ทั้งสองกรณีดังกล่าว ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องยืนแบบ ภ.ง.ต.90

2. เนื่องจากการให้บริการทำความสะอาต เข้าลักษณะเป็นบริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาครา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้จึงต้องนำคำรายได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
กระทู้ข้อหารือ กรณีส่วนราชการจ้างเหมาบริการบุคคลธรรมดา เช่น แม่บ้าน คนขับรถ ตามระเบียบพัสดุ กรมสรรพากร ตอบว่าเป็นเงินได้ตาม มาตรา 40 (2) นะครับ  

เลขที่หนังสือ : กค 0702/549
วันที่ : 1 กุมภาพันธ์ 2566
เรื่อง : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีการจ้างเหมาบริการบุคคลธรรมดาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
ข้อกฎหมาย : มาตรา 40 (2) มาตรา 50 (1)
ข้อหารือ :
     1. กรม A. (หน่วยงานราชการ) ได้ทำสัญญาจ้างเหมาบริการบุคคลภายนอก ประกอบด้วย การจ้างบุคคลธรรมดาเป็นพนักงาน พนักงานขับรถยนต์ พนักงานทำความสะอาด และอื่น ๆ มีลักษณะมุ่งผลสำเร็จของงานที่ว่าจ้างภายในระยะเวลาที่กำหนดเป็นสำคัญ อัตราจ้างของ ทุกตำแหน่ง ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท
     2. การจ้างเอกชนดังกล่าว กรม A. ได้ปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่กระทรวงการคลังได้แจ้งเวียนหลักเกณฑ์ การจ้างเอกชนดำเนินงานในลักษณะการจ้าง บุคคลธรรมดาดำเนินงาน โดยให้หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ได้รับมอบหมายจ้างเอกชน ดำเนินการเฉพาะโครงการ หรือเฉพาะครั้งคราวที่มีความจำเป็นเพื่อเสริมการปฏิบัติงาน ในหน้าที่ปกติของส่วนราชการ และการจ้างเอกชนดำเนินการดังกล่าวให้ถือปฏิบัติตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยผู้รับจ้าง เหมาบริการมีฐานะเป็นผู้รับจ้างทำของตามข้อตกลงการจ้าง หรือสัญญาการจ้างตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่ถือเป็นบุคลากร ของรัฐที่จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ สวัสดิการ ที่พึงได้รับจากทางราชการเช่นเดียวกับข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ หรือบุคลากรอื่นของรัฐได้รับเป็นเพียงผู้รับจ้างทำของ จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับรัฐในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง ตามนัยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติมกรม A. หารือว่า การจ้างเหมาบริการบุคคลภายนอกดังกล่าว จะต้องดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างไร

แนววินิจฉัย : 
    กรณีกรม A. ทำสัญญาจ้างเหมาบริการกับผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาโดยได้ปฏิบัติตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบกับ หนังสือแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าว โดยได้มีการจ้างที่มุ่งผลสำเร็จ ของงานที่ว่าจ้างภายในระยะเวลาที่กำหนดเป็นสำคัญ มีการจ่ายค่าจ้าง เป็นรายเดือน โดยผู้รับจ้างจะต้องปฏิบัติ หน้าที่ตามสัญญาการจ้างเหมาบริการซึ่งอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ การจ้างเอกชนดำเนินงานของ กระทรวงการคลัง กล่าวคือ ผู้รับจ้างไม่ถือเป็นบุคลากรของรัฐที่จะได้รับสวัสดิการจากทาง ราชการ เป็นเพียงผู้รับจ้างทำของ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับรัฐในฐานะนายจ้างลูกจ้าง เงินค่าจ้าง ที่กรม A. จ่ายให้ผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างเหมาบริการดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นเงินได้ พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร กรม A. ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หัก ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
วิสัชนา
1. สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร
    1.1 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ โดยทั่วไปมักเข้าใจว่าเป็นเงินได้จากรับเหมาก่อสร้าง แต่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรับเหมาใดๆ ที่ต้องจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือแล้ว ทั้งนี้ เฉพาะรายการเงินได้ที่ไม่ถูกกำหนดให้เป็นเงินได้พึงประเมินตามาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ย่อมถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ทั้งสิ้น เช่น
      เงินได้จากการรับจ้างทาสี ซ่อมสี โดยผู้รับเหมาเป็นผู้จัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ เป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร…เงินได้จากการรับจ้างทาสี ซ่อมสี โดยผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาสีให้ ได้รับแต่ค่าแรง เป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร (กค 0802/3628 : 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536)
      การรับเหมาทำตู้ โต๊ะ หรือเครื่องใช้อลูมิเนียม โดยผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญ นอกจากเครื่องมือ ไม่ว่าจะมีการตกลงราคาค่าจ้างกันก่อนหรือภายหลังที่งานสำเร็จ เงินได้ดังกล่าว เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร (กค 0802/6575: 30 เมษายน พ.ศ. 2539) 
อ้างอิง: บัญชี ภาษี การเงินในการก่อสร้าง 
    1.2 สำหรับการรับเหมาก่อสร้างแบ่งเป็น
         (1) การก่อสร้างเพื่อพาณิชยกรรม หมายถึง การก่อสร้างที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้า การรับจำนำ การประกันภัย การเงินและการธนาคาร เช่น ร้านค้า คลังสินค้า ห้างสรรพสินค้า สำนักงาน ตลาด โชว์รูม ฯลฯ
         (2) การก่อสร้างเพื่ออุตสาหกรรม หมายถึง การก่อสร้างที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ดำเนินการเกี่ยวกับการผลิต-ประกอบสินค้า เช่น อู่ต่อและประกอบรถยนต์ อู่ต่อเรือ โรงกลึง และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

2. แท้จริงการรับเหมา เป็นส่วนหนึ่งของการรับทำงานให้ ซึ่งอาจเข้าลักษณะเป็นเงินได้ประเภทอื่นได้อีก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของที่มาของเงินได้ดังนี้  
    2.1 กรณีเงินได้ประเภทที่ 2 ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากการรับทำงานให้ เป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้จากการรับทำงานให้นั้นต้องอาศัยแรงงานเป็นปัจจัยสำคัญในอันที่จะก่อให้เกิดเงินได้ และมีค่าใช้จ่ายจำนวนน้อย (ร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)  
    2.2 กรณีเงินได้ประเภทที่ 6 ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เป็นเงินได้จากการรับทำงานให้ ซึ่งผู้มีเงินได้ต้องอาศัยวิชาชีพอิสระเป็นปัจจัยในอันที่จะก่อให้เกิดเงินได้ อันได้แก่ วิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี และประณีตศิลปกรรม
    2.3 กรณีเงินได้ประเภทที่ 7 ตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุน ด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ เป็นเงินได้จากการรับทำงานให้โดยการับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องจัดหาสัมภาระ หรือวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับจ้างทำงานให้นอกจากเครื่องมือมาประกอบการรับทำงานให้นั้นด้วย ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะการประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง
    2.4 กรณีเงินได้ประเภทที่ 8 ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากการธุรกิจซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเงินได้จากการรับทำงานให้ที่กระทำในรูปธุรกิจที่ผู้มีเงินได้มุ่งหวังผลกำไรและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการสูง ซึ่งต้องมีลักษณะการประกอบกิจการดังนี้
          (1) ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และ
          (2) ได้จัดตั้งเป็นสำนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีอาคารสำนักงานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง หรือเช่าจากบุคคลอื่น โดยมีหลักฐาน เช่น หลักฐานการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าสำนักงาน และ
          (3) มีการลงทุนด้วยการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน และ 
          (4) มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีหลักฐานตามสัญญาจ้างแรงงาน หลักฐานการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และหลักฐานการแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง ในกรณีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่มีภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายและนำส่ง จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นรายการเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงานตามแบบ ภ.ง.ด.1 ก. และ 
          (5) มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ เช่น ค่ารับรอง หรือค่าบริการเพื่อประโยชน์ในการติดต่องานกับลูกค้า

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า 
1. คำว่า "สัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ" ตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่เคยมีคำจำกัดความ หรือคำพิพากษาว่า ต้องประมาณกี่ % ของค่าจ้าง 
2. กรณีแม่บ้านเงินเดือน 7,000 บาท ต้องจัดหาน้ำยาทำความสะอาดหลัก 100% โดยทั่วไปย่อมถือได้ว่า เป็นสัมภาระในส่วนสำคัญ เพียงแต่ต้องพิจารณาองค์ประกอบอย่างอื่นเพิ่มอีกด้วย อาทิ 
    2.1 มีการใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่ รับทำงานให้แต่เพียงลำพังคนเดียว ในส่วนของน้ำยาทำความสะอาดนั้น เป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เมื่อประกอบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วน้อยกว่า 50% ของเงินได้ เช่นนี้ ย่อมเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากการรับทำงานให้ เป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้จากการรับทำงานให้นั้นต้องอาศัยแรงงานเป็นปัจจัยสำคัญในอันที่จะก่อให้เกิดเงินได้ และมีค่าใช้จ่ายจำนวนน้อย (ร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)   
    2.2 ตามปุจฉา - วิสัชนา: ที่ผมได้เคยตอบนั้น ตามข้อเท็จจริงแจ้งว่า “กรณีผู้เสียภาษีเป็นบุคคลธรรมดา อยู่ในระบบภาษีมูลดาเพิ่ม มีเงินได้จากการเป็นแม่บ้านทำความสะอาดของบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่มีประกันสังคม รับค่าจ้างเป็นรายเดือน บริษัทฯ หัก ณ ที่จ่ายเป็นค่าบริการ 3%” การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ย่อมชี้ชัดได้ว่า เป็นผู้มีเงินได้จาการรับทำความสะอาดเป็นจำนวนมากเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี และไม่ใช่ได้รับค่าจ้างเพียง 7,000 บาทต่อเดือน ผมจึงเห็นว่า เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร – การรับเหมาที่ต้องจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ