1. ตามมาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดหลักเกณฑ์ ในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้จากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศดังนี้ “มาตรา 41 ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ ผู้อยู่ในประเทศไทยมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีปีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย” จากบทบัญญัติดังกล่าว ผู้มีเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ก็ต่อเมื่อครบองค์ประกอบดังต่อไปนี้ (1) เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย โดยพำนักอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึง 180 วันในปีภาษีที่ได้รับเงินได้จากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ และ (2) เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจาก (ก) หน้าที่งานในต่างประเทศ หรือ (ข) กิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือ (ค) ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ (3) ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย ภายในปีภาษีเดียวกับปีที่เกิดเงินได้
2. ตามมาตรา 42 (27) และ (28) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดยกเว้นเงินได้พึงประเมินจากการรับให้โดยเสน่หา ดังนี้ “มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้... (27) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น (28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งนี้ จากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรสเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินสิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น”
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า กรณีสามี (ชอบด้วยกฎหมาย – จดทะเบียนสมรส) เป็นชาวต่างชาติ เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยเกินกว่า 180 วันในปีภาษี ได้ขายบ้านที่ต่างประเทศ ซึ่งเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากกิจการที่ทำในต่างประเทศ แล้วโอนเงินมาให้ภรรยาไทยอาศัยอยู่ที่ไทย ประมาน 24,000,000.- บาท นั้น 1. หากเป็นการโอนเข้ามาในประเทศไทยภายในปีภาษีเดียวกับปีที่เกิดเงินได้หรือปีที่ขายบ้าน (1) สำหรับเงินได้จำนวน 20 ล้านบาท ภรรยาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (27) แห่งประมวลรัษฎากร (2) สำหรับเงินได้จำนวน 4 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าจำนวนเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากคู่สมรส ตามมาตรา 42 (27) แห่งประมวลรัษฎากร ภรรยามีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 48 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตรา 5% ของเงินได้จำนวน 4 ล้านบาท คิดเป็นเงิน 200,000 บาท ดังนี้ “มาตรา 48 เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้ (6) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของเงินได้ส่วนที่เกินยี่สิบล้านบาท โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 ที่ได้รับจากการอุปการะ หรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส ที่ไม่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42 (27) แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้นำไปกรอกในแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับภาษีเงินได้ครึ่งปี และ ภ.ง.ด.90 สำหรับภาษีเงินได้ประจำปี โดยไม่ต้องคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิทั่วไป
2. หากสามีโอนมาคนละปีกับปีที่ขายบ้าน ให้โอนเข้ามาเป็นเงินได้ของสามี สามีก็จะไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร แล้วค่อยทะยอยยกให้ภรรยาไม่เกินปีละ 20 ล้านบาท เพื่อการได้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (27) แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากยกให้ภรรยา ก็ให้ปฏิบัติตามข้อ 1 ข้างต้น ภรรยาต้องเสียภาษีเงินได้จำนวน 200,000 บาท อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส คำตอบก็จะเปลี่ยนไปครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ " |