Case study

รับจ้างผลิต ถือเป็น ขายสินค้า หรือ จ้างทำของ


เรื่อง รับจ้างผลิต ถือเป็น ขายสินค้า หรือ จ้างทำของ
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 02/09/2024
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย มาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร, คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ฯ
คำถาม

1. บริษัท A ประกอบกิจการและดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่าง และรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่าง ๆ หรือเรียกว่า "ผู้รับจ้าง" และได้ทำสัญญากับ บริษัท B เป็น "สัญญาจ้างผลิตสินค้า" หรือเรียกว่า "ผู้ว่าจ้าง" ให้ผลิตสินค้าประเภท สบู่ ยาสิฟัน ตามสูตรการผลิต ติดชื่อ ยี่ห้อ แบรนด์ และ Packaging ตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ โดยให้ บริษัท A จัดหาวัตถุดิบ ภาชนะบรรจุต่าง ๆ ตามรูปแบบ ใช้กระบวนการผลิตของโรงงานตั้งแต่ฝ่ายผลิต ไปจนถึง เครื่องจักรต่าง ๆ โดยปกติบริษัท A จะผลิตสินค้าประเภทยาสีฟันและสบู่ ซึ่งมีจำหน่ายและวางขายเป็นแบรนด์ของบริษัทเองเป็นปกติอยู่แล้ว ขอสอบถามว่า

     1.1 กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการขายสินค้า หรือ รับจ้างทำของ และ บริษัท A จะมีภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และ ภาษีอากรแสตมป์ ต้องพิจารณาอย่างไร

     1.2 กรณีดังกล่าวหากถือว่าเป็นการขายสินค้า บริษัท A ควรจะจัดทำเป็นสัญญาประเภทใด "สัญญาซื้อขายสินค้า" หรือ "สัญญาจ้างผลิตสินค้า" ตามที่บริษัทฯ ทั่วไปใช้กัน (ผู้ว่าจ้างเมื่อเห็นว่าเป็นสัญญารับจ้างผลิต ก็จะหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ก่อน ดังนั้นจะอธิบายอย่างไร)

     1.3 การรับจ้างผลิตเจ้าหน้าทีสรรพากรจะพิจารณาว่าเป็นการขาย หรือ รับจ้างทำของ ดูที่สาระสำคัญ และ หลักกฎหมาย พิจารณาจากเนื้อหาข้อมูล และข้อเท็จจริงมากกว่าประเภทและชนิด หรือชื่อของสัญญาที่ทำระหว่างกัน เพราะไม่ใช่สาระสำคัญอันนี้เข้าใจถูกต้องมั้ยค่ะ

     1.4 เจ้าหน้าที่สรรพากรมีหลักเกณฑ์เงื่อนไข และข้อกฎหมาย วิธีตรวจสอบพิจารณา ลักษณะหรือประเภทของสัญญาอย่างไร

2. ตามข้อที่ 1 หากบริษัท A รับจ้างผลิตสินค้าประเภท สบู่ และยาสีฟัน ให้กับผู้ว่าจ้าง โดยงานที่รับจ้างผลิตไม่มีสินค้าเป็นของตัวเองที่วางจำหน่ายทั่วไป จะรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่าง ๆ เท่านั้น (ไม่มีการวางขายสินค้าประเภทยาสีฟัน และสบู่ที่เป็นแบรนด์ของตนเอง) ถือว่าเป็นการรับจ้างทำของ ดังนั้น บริษัท A จะมีภาระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และ อากรแสตมป์ (เงินได้ประเภทรับจ้างทำของ) เข้าใจถูกต้องหรือไม่

คำตอบ

คำตอบข้อ 1.1


    จากโจทย์ที่ให้มาบริษัทฯ มีการผลิตสินค้าเพื่อขายเป็นปกติธุระอยู่แล้ว ดังนั้น ให้พิจารณาต่อว่า วัตถุดิบที่ใช้ใครเป็นผู้จัดหา

       1.1.1 โดยในการผลิตได้ใช้วัตถุดิบที่ลูกค้าจัดหามาให้

             กรณีบริษัทฯ ผลิต สบู่ ยาสีฟัน เพื่อจำหน่ายโดยทั่วไปเป็นปกติธุระ ต่อมาบริษัทฯ ได้รับคำสั่งจากลูกค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลให้ผลิตสบู่ ยาสีฟัน ตามสูตร ติดชื่อ ยี่ห้อ แบรนด์ และ Packaging ที่ลูกค้ากำหนด โดยในการผลิตได้ใช้วัตถุดิบที่ลูกค้าจัดหามาให้ กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อลูกค้าจ่ายค่าจ้างให้บริษัทฯ ลูกค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 เฉพาะค่าจ้างหรือค่าบริการ ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/3854 ลงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2547)https://www.rd.go.th/24447.html


       1.1.2 โดยในการผลิตได้ใช้วัตถุดิบของบริษัทฯ 

           

 กรณีบริษัทฯ ได้ผลิตสินค้า สบู่ ยาสีฟัน เพื่อจำหน่ายเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้า ตามสูตร ติดชื่อ ยี่ห้อ แบรนด์ และ Packaging ตามรูปแบบที่บริษัทฯ จัดเตรียมไว้หรือลูกค้าเป็นผู้คิดสูตรเอง แต่ใช้วัตถุดิบในการผลิตของบริษัทฯ ที่จัดเตรียมและมีไว้ให้เลือก การรับทำสินค้า ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0702/5546 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553)https://www.rd.go.th/43187.html


คำตอบข้อ 1.2


หากเป็นการขายสินค้า บริษัท A ควรจะจัดทำเป็นสัญญาประเภท ใช้ชื่อสัญญาว่า “สัญญาซื้อขายสินค้า” ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หัวสัญญาไม่สำคัญเท่าข้อเท็จจริงที่กระทำ และเนื้อหาภายในสัญญาคะ 


คำตอบข้อ 1.3


สมาชิกเข้าใจถูกต้องแล้วคะ


คำตอบข้อ 1.4


พิจารณาจากข้อเท็จจริงว่าใครทำอะไรกับใคร ส่วนหลักในการพิจารณานั้นให้ดูคำตอบข้อ 1.1 ว่าเป็นการซื้อขายหรือรับจ้างผลิต และสุดท้ายก็คงต้องอยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่สรรพากรที่ตรวจสอบด้วยคะ เรามีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงคะ 



คำตอบข้อ 2


สมาชิกเข้าใจถูกต้องแล้วคะ

กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อลูกค้าจ่ายค่าจ้างให้บริษัทฯ ลูกค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 เฉพาะค่าจ้างหรือค่าบริการ ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/3854 ลงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2547)https://www.rd.go.th/24447.html


          การให้บริการรับจ้างทำของ เสียอากรแสตมป์ 1,000 บาท ละ 1 บาท ตามล้กษณะตราสาร 4 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์

 


อ้างอิงคำตอบ


เรื่อง

สัญญาจ้างผลิตหรือสัญญาจ้างทำของ

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 05/11/2021 - วันที่ตอบ 31/12/2021

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร, คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ฯ

ปุจฉา

รบกวนช่วยอธิบายสัญญาจ้างผลิตหรือสัญญาจ้างทำของ แตกต่าง การผลิตแบบปกติ แตกต่างกันอย่างไรครับ

วิสัชนา

สัญญาจ้างผลิตหรือสัญญาจ้างทำของ

    1. กรณีไม่ได้ผลิตสินค้าเพื่อขายเป็นปกติธุระ

       บริษัทฯ มิได้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกวางจำหน่ายเป็นการทั่วไป หากแต่บริษัทฯ จะผลิตสินค้าดังกล่าว เฉพาะเมื่อมีการสั่งให้ผลิตจากลูกค้าเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่ากรรมสิทธิ์ในแม่แบบจะเป็นของบริษัทฯหรือของลูกค้าก็ตาม การประกอบกิจการของบริษัทฯ ถือเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และถือเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงมีความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อได้รับชำระค่าบริการตามมาตรา 78/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อลูกค้าจ่ายค่าจ้างให้บริษัทฯ ลูกค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3 ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ .2528 (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0811/16284 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540)https://www.rd.go.th/22903.html

       บริษัท บ. ประกอบกิจการเป็นผู้รับจ้างผลิตอะไหล่ลูกกลิ้งยาง และวัสดุอุปกรณ์เครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมทุกชนิด รวมทั้งการให้บริการซ่อมวัสดุอุปกรณ์ โดยจะผลิตตามคำสั่งของลูกค้าแต่ละรายซึ่งเป็นผู้กำหนดขนาด รูปแบบ ชนิด และความแข็งของยาง ตลอดจนสีที่ต้องการ โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบและวัสดุต่างๆ เองและนำไปบันทึกเป็นต้นทุนการผลิตของกิจการ โดยมีขั้นตอนการออกเอกสาร ดังนี้

       (1) เมื่อกระทำเสร็จพร้อมส่งมอบจะออกเอกสารใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าเพื่อยืนยันการรับสินค้า ยกเว้นกรณีสินค้าไม่ถูกต้องตามข้อกำหนดของลูกค้าจะส่งกลับ และบริษัทฯ จะดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องก่อนส่งมอบต่อไป

       (2) เมื่อครบกำหนดชำระเงิน และได้รับชำระเงินจากลูกค้าจากการรับจ้างผลิต บริษัทฯ จะออกใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงินให้ลูกค้า

       ตามข้อเท็จจริงหากบริษัทฯ ไม่ได้ผลิตสินค้าเพื่อขายเป็นปกติธุระแต่จะกระทำการผลิตตามคำสั่งที่ลูกค้ากำหนดเท่านั้น โดยคู่สัญญามุ่งโดยตรงต่อผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ มิได้มุ่งโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าแต่อย่างใด ถือเป็นการรับจ้างทำของเข้าลักษณะเป็นการให้บริการซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาค่าบริการ ทั้งนี้ ตามมาตรา 77/1 (10) และตาม มาตรา 78/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น กรณีบริษัทฯ ออกเอกสารใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าเพื่อยืนยันการรับสินค้าโดยยังมิได้รับชำระราคาค่าบริการ ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงยังไม่เกิดขึ้น (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/พ./6743 ลงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2549)https://www.rd.go.th/32686.html


    2.กรณีผลิตสินค้าเพื่อขายเป็นปกติธุระ

       2.1 โดยในการผลิตได้ใช้วัตถุดิบที่ลูกค้าจัดหามาให้

           กรณีบริษัทฯ ผลิตเครื่องประดับที่ทำด้วยเงินเพื่อจำหน่ายโดยทั่วไปเป็นปกติธุระ ต่อมาบริษัทฯ ได้รับคำสั่งจากลูกค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลให้ผลิตเครื่องประดับตามแบบ ขนาดและจำนวน ที่ลูกค้ากำหนด โดยในการผลิตได้ใช้วัตถุดิบที่ลูกค้าจัดหามาให้ กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อลูกค้าจ่ายค่าจ้างให้บริษัทฯ ลูกค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 เฉพาะค่าจ้างหรือค่าบริการ ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/3854 ลงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2547)https://www.rd.go.th/24447.html


       2.2 โดยในการผลิตได้ใช้วัตถุดิบของตนเองผลิตก่อน เมื่อผลิตเสร็จแล้วลูกค้าจะชำระค่าบริการพร้อมคืนวัตถุดิบให้ตามปริมาณที่ใช้ผลิตสินค้า

           กรณีบริษัทฯ ผลิตเครื่องประดับที่ทำด้วยเงินเพื่อจำหน่ายโดยทั่วไปเป็นปกติธุระ ต่อมาบริษัทฯ ได้รับคำสั่งจากลูกค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลให้ผลิตเครื่องประดับตามแบบ ขนาดและจำนวนที่ลูกค้ากำหนด โดยในการผลิตบริษัทฯ ได้ใช้วัตถุดิบของบริษัทฯ ผลิตก่อน เมื่อผลิตเสร็จแล้วลูกค้าจะชำระค่าบริการพร้อมคืนวัตถุดิบให้ตามปริมาณที่ใช้ผลิตสินค้า กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/3854 ลงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2547) https://www.rd.go.th/24447.html

           กรณีห้างฯ ได้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าตามรูปแบบที่ห้างฯ จัดเตรียมไว้หรือลูกค้าเป็นผู้ออกแบบเอง แต่ใช้วัตถุดิบในการผลิตของห้างฯ ที่จัดเตรียมและมีไว้ให้เลือก การรับทำสินค้าดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0702/5546 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553)https://www.rd.go.th/43187.html


เครดิต อาจารย์ Yong Yee


ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"



เรื่อง

การหักภาษี ณ ที่จ่าย กรณีสั่งซื้อสินค้าเพื่อขายกับโรงงานที่ผลิตสินค้า

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 06/02/2023 - วันที่ตอบ 30/03/2023

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

ข้อกฎหมาย

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528

ปุจฉา

มีประเด็นคำถามเกี่ยวกับการหักภาษี ณ ที่จ่ายค่ะ

    ทางบริษัท ก ได้ทำการสั่งซื้อสินค้าเพื่อขายกับโรงงานที่ผลิตสินค้า ทางเราบริษัท ก มองว่าซื้อสินค้าสำเร็จรูป ไม่ได้จ้างทำของ เลยไม่ได้หัก ณ ที่ จ่าย แต่ทางโรงงานผลิตสินค้าเขามองว่าเข้าข่ายจ้างทำของ เลยแจ้งให้บริษัท ก ต้องหัก ณ ที่จ่าย

คำถาม

ถ้าต้องหัก ต้องดูอย่างไรบ้างถึงจะเข้าข่ายและต้องทำการหัก ณ ที่จ่าย ค่ะ

วิสัชนา

1. ในทางภาษีอากร อาจแสดงรายการเปรียบเทียบระหว่างการขายสินค้า และการให้บริการจ้างทำของเป็นตารางตามประเด็นทางภาษีอากรอากรที่แตกต่างกันได้ดังนี้

(ดูตารางประกอบ)

2. ตามหนังสือตอบข้อหารือเลขที่ กค 0702/5546 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีผลิตและจำหน่ายสินค้าเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าตามรูปแบบที่จัดเตรียมไว้ หรือลูกค้าเป็นผู้ออกแบบเอง ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้

    “กรณีห้างฯ ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป เช่น เสื้อโปโล เสื้อแจ๊คเก็ต เสื้อเชิ้ต และกางเกง โดยใช้วัสดุในการผลิตแตกต่างกัน รวมทั้งมีการผลิตและจำหน่ายให้แก่ลูกค้าตามคำสั่งมีลักษณะดังนี้

     1. ลูกค้าสั่งซื้อตามรูปแบบตามที่ห้างฯ รับผลิต หรือตามตัวอย่างที่ห้างฯ จัดเตรียมไว้และลูกค้าขอเลือกวัสดุ เช่น สีผ้า ชนิดผ้า กระดุม และแบบกระดุม ที่ห้างฯ จัดเตรียมและมีไว้ให้เลือก ซึ่งบางครั้งคำสั่งซื้อจะมีการติดเครื่องหมายของ บริษัทลูกค้า โลโก้ หรือเครื่องหมายอื่นที่ลูกค้าต้องการบนเสื้อตามจุดที่ลูกค้าต้องการ

     2. ลูกค้าสั่งผลิตสินค้าโดยลูกค้าเป็นผู้ออกแบบเอง แต่ใช้วัตถุดิบในการผลิตตามตัวอย่างที่ห้างฯ จัดเตรียมและมีไว้ให้เลือก และอาจมีการติดเครื่องหมายของบริษัทลูกค้า โลโก้ หรือเครื่องหมายอื่นที่ลูกค้าต้องการบนเสื้อตามจุดที่ลูกค้าต้องการ

     เช่นนี้ กรณีห้างฯ ได้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าตามรูปแบบที่ห้างฯ จัดเตรียมไว้หรือลูกค้าเป็นผู้ออกแบบเอง แต่ใช้วัตถุดิบในการผลิตของห้างฯ ที่จัดเตรียมและมีไว้ให้เลือก การรับทำสินค้าดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528” (เลขตู้ : 73/37422)



 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

    กรณีบริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าไปยังโรงงานผู้ผลิต หากโรงงานได้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าบริษัทฯ จะสั่งซื้อสินค้าตามรูปแบบที่โรงงานจัดเตรียมไว้ หรือบริษัทฯ เป็นผู้ออกแบบเอง แต่ใช้วัตถุดิบในการผลิตของโรงงานที่จัดเตรียม และมีไว้ให้เลือก การรับทำสินค้าดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 แต่อย่างใด



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ "



หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น  กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง



หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ