Case study

พนักงานเกษียณอายุงาน 55 ปี


เรื่อง พนักงานเกษียณอายุงาน 55 ปี
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 22/09/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อกฎหมาย
คำถาม

พนักงานจะครบเกษียณอายุ 55 ปี ในปีหน้า บริษัทยังไม่เคยมีพนักงานที่อยู่จนเกษียณอายุงาน และไม่มีฝ่ายบุคคล มีการตั้งประมาณการสำหรับเงินผลประโยชน์พนักงานไว้ ไม่ทราบว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร ทั้งส่วนของฝ่ายบุคคล (นายจ้าง) พนักงานที่เกษียณ และส่วนของบัญชีค่ะ

คำตอบ

คำตอบ

เกณฑ์เกษียณอายุและแนวทางตามกฎหมาย

  • อายุเกษียณ 
     – ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดว่า หากไม่ได้กำหนดอายุเกษียณไว้ในสัญญาจ้างหรือนโยบายบริษัท ให้ถืออายุ 60 ปีเป็นเกณฑ์เกษียณอายุ นโยบายของหลายบริษัทเอกชนกำหนดอายุเกษียณที่ 55 ปีได้ แต่ต้องระบุชัดในข้อบังคับหรือสัญญาจ้างเพื่อให้มีผลตามกฎหมาย ดังนั้น จะถือว่ากรณีนี้มีกำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 55 ปี
  • การนับอายุงาน 
     – เมื่อพนักงานเกษียณอายุถือว่าเป็นการ “เลิกจ้าง” ตามมาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ทำให้บริษัทฯ ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน และต้องแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันหรือจ่ายเงินแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในวันเลิกจ้าง
  • สิทธิในการทำงานต่อ 
     – หากพนักงานและบริษัทตกลงให้ทำงานหลังเกษียณ บริษัทควรจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานก่อน แล้วออกสัญญาจ้างใหม่แบบกำหนดระยะเวลา (เช่น 1 ปี ต่อได้อีกครั้ง) ระบุบทบาทและชั่วโมงทำงานให้ชัดเจน

ขั้นตอนสำหรับฝ่ายบุคคล/นายจ้าง

1 ตรวจสอบนโยบายเกษียณและแจ้งให้พนักงานทราบ

  • ยืนยันว่าในข้อบังคับหรือสัญญาจ้างระบุอายุเกษียณ 55 ปี หากไม่มีถือว่าพนักงานมีสิทธิทำงานถึง 60 ปี 
  • ออกหนังสือแจ้งพนักงานล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน โดยระบุวันที่สิ้นสุดการทำงาน เหตุผลการเกษียณ สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ และขั้นตอนการส่งมอบงาน


2  คำนวณและจัดเตรียมสิทธิประโยชน์

  • ค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 
     
    เงินชดเชยเกษียณอายุ (ตามกฎหมายแรงงาน) นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างอัตราค่าชดเชยคำนวณจากอายุงานและเงินเดือนสุดท้าย มีดังนี้:

อายุงานน้อยกว่า 120 วัน:ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย

อายุงาน 120 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี:ได้รับค่าชดเชย 30 วัน

อายุงาน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี:ได้รับค่าชดเชย 90 วัน

อายุงาน 3 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี:ได้รับค่าชดเชย 180 วัน

อายุงาน 6 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี:ได้รับค่าชดเชย 240 วัน

อายุงาน 10 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี:ได้รับค่าชดเชย 300 วัน

อายุงาน 20 ปีขึ้นไป:ได้รับค่าชดเชย 400 วัน

  • สวัสดิการเพิ่มเติม – ถ้ามีเงินบำเหน็จ/บำนาญหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้จ่ายตามข้อกำหนด

เอกสารประกอบ – จัดเตรียมใบรับรองการทำงาน หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50ทวิ) แบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1) และการปิดบัญชีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ถ้ามี)


สิทธิและภาษีของพนักงาน

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 
     
    – กรณีพนักงานได้รับเงินชดเชยเนื่องจากเกษียณอายุ สำหรับเงินชดเชยแรงงานดังกล่าวไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 2(51) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ดังนั้น พนักงานจึงต้องนำเงินชดเชยแรงงานเนื่องจากเหตุเกษียณอายุ ไปคำนวณรวมเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฏากร ในอัตราก้าวหน้า ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฏากร ทั้งจำนวน 

อย่างไรก็ตามถ้าพนักงานที่เกษียณอายุ ทำงานกับบริษัท ครบ 5 ปี  ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ข้อ 2(ก)  จะสามารถใช้สิทธิเลือกคำนวณภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ ซึ่งการคำนวณวิธีนี้ พนักงานจะเสียภาษีน้อยกว่าคำนวณ ตามมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฏากร


  • ประกันสังคม – เมื่อเริ่มรับบำนาญชราภาพ พนักงานไม่ต้องเสียภาษีสำหรับเงินบำนาญและหากเสียชีวิตภายใน 5 ปี ทายาทอาจได้รับเงินสงเคราะห์ตามเงื่อนไขของกองทุน

การบันทึกบัญชีและภาษีของบริษัท

  1. การตั้งประมาณการผลประโยชน์พนักงาน
    • มาตรฐาน TFRS for NPAEs กำหนดให้บริษัทต้องรับรู้ “หนี้สินผลประโยชน์พนักงาน” สำหรับค่าชดเชยเกษียณโดยใช้วิธี “การประเมินค่าที่ดีที่สุด” (best estimate) แนวทางเน้นให้คำนวณอย่างง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย
    • บริษัทควรพิจารณาพนักงานที่มีโอกาสอยู่จนเกษียณ เช่น ทำงาน ≥10 ปีและเหลืออายุงาน ≤5 ปี เพื่อประเมินหนี้สินและทบทวนทุกปีว่ามีการตั้งต่ำหรือสูงเกินไป
    • แต่กรณีนี้ บริษัทฯ ไม่ได้มีนโยบายตั้งประมาณการ หนี้สินผลประโยชน์พนักงาน ไว้

       
  2. บันทึกบัญชีเมื่อจ่ายจริง
    • เมื่อถึงวันที่จ่ายค่าชดเชย :
      • เดบิต “เงินชดเชยตามกฏหมายแรงงาน” (Retirement Allowance)
      • เครดิต “เงินสด/ธนาคาร”
  • สามารถลงเป็นรายจ่ายในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกิจการและมีการจ่ายจริง ไม่ใช่การตั้งสำรองตามมาตรฐานการบัญชี

     
  1. เตรียมข้อมูลภาษีและเอกสาร
    • จัดทำสลิปเงินเดือนสุดท้าย, หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50ทวิ) แบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1) 
    • ระเบียบข้อบังคับบริษัท , สัญญาจ้าง

       
  1. วิธีการคำนวณได้รับเงินชดเชยเกษียณอายุ วิธีนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน มาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฏากร 

การคำนวณภาษีตามมาตรา 48(5)

การหักค่าใช้จ่าย :

หักค่าใช้จ่ายส่วนแรก = 7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน

(ถ้าทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็มแล้ว จำนวนวันที่ทำงานเกิน 183 วันให้นับเป็น 1 ปี)

หักค่าใช้จ่ายส่วนที่สอง = (เงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ – ค่าใช้จ่ายส่วนแรก) x 50%

เมื่อหักค่าใช้จ่ายทั้งสองส่วนแล้ว ให้นำเงินได้ที่เหลือไปคำนวณภาษีตามขั้นภาษีปกติ โดยไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงิน 150,000 บาท แรก

 ศึกษาวิธีการคำนวณและกรอกแบบได้ที่ วารสารมุมสรรพากรที่จัดทำขึ้น
https://www.rd.go.th/region/04/fileadmin/063_saraburi/HotArticle/2561/Mar_2018_Online_Single.pdf

 






ข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้อง


มาตรา 42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

 (17) เงินได้ตามที่จะได้กำหนดยกเว้นโดยกฎกระทรวง


  

กฎกระทรวง
 ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)
 ออกตามความในประมวลรัษฎากร
 ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร


  
ข้อ 2 ให้กำหนดเงินได้ต่อไปนี้เป็นเงินได้ตาม (17) ของมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 

  

(51)ค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและค่าชดเชยที่พนักงานได้รับตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์แต่ไม่รวมถึงค่าชดเชยที่ลูกจ้างหรือพนักงานได้รับเพราะเหตุเกษียณอายุหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างทั้งนี้เฉพาะค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงานสามร้อยวันสุดท้ายแต่ไม่เกินสามแสนบาท



 

มาตรา 48 เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้
            (1) เงินได้พึงประเมินเมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 47 หรือมาตรา 57 เบญจ แล้วเหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ ต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวดนี้  


          (5) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ไดสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากับ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานแต่ไม่เกินเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้น แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้

             ในกรณีเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จจำนวนหนึ่งและเงินบำนาญอีกจำนวนหนึ่ง ให้ถือว่าเฉพาะเงินที่จ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จเป็นเงินซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน และให้ลดค่าใช้จ่ายจำนวน 7,000 บาท ลงเหลือ 3,500 บาท
จำนวนปีที่ทำงานตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ทางราชการจ่าย ให้ถือจำนวนปีที่ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นในลักษณะเดียวกันนั้นตามกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับของทางราชการ
           ในการคำนวณจำนวนปีที่ทำงาน นอกจากกรณีตามวรรคสาม เศษของปี ถ้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ถือเป็นหนึ่งปี ถ้าไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ปัดทิ้ง  

( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2534 ใช้บังคับปีภาษี 2535 เป็นต้นไป )
  ( 
ดูประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) )     

         ถ้าภาษีเงินได้ที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินแล้วมีจำนวนต่ำกว่า 5 บาท เป็นอันไม่ต้องเรียกเก็บ



 

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)

เรื่อง    กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ตามมาตรา 48 (5) และมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร



 

ข้อ 1เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานให้หมายถึงเงินได้ดังนี้

                          (ก)เงินได้ที่คำนวณตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเช่นเดียวกับวิธีการคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

                         (ข) เงินที่จ่ายจากกองทุนดังนี้

                                1) เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

                                2) เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

                                3) เงินที่จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนที่ได้จากการโอนหรือเกี่ยวเนื่องจากการโอนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ”

(แก้ไขโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 287) ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2559 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

                          (ค) เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

                          (ง) เงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการตาม (ก)



 

ข้อ 2เงินได้พึงประเมินตามข้อ 1 ที่ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่นตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากรได้ จะต้องมีเงื่อนไขดังนี้

 

                (ก) เป็นเงินได้ที่จ่ายให้เนื่องจากออกจากงานที่มีระยะเวลาทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี


                 การนับระยะเวลาการทำงานตามวรรคหนึ่ง กรณีผู้มีเงินได้ได้เคยออกจากงานมาแล้ว ซึ่งมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างคนหนึ่งและเข้าทำงานกับนายจ้างอีกคนหนึ่งไม่เกินหนึ่งปี โดยได้โอนเงินและผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างเดิมไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่ หรือเข้าทำงานกับนายจ้างเดิมซึ่งมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานและเข้าทำงานใหม่ไม่เกินหนึ่งปี และเมื่อออกจากงานนั้น ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นับระยะเวลาการทำงานในระหว่างที่ทำงานกับนายจ้างแต่ละคนเป็นระยะเวลาทำงานตามวรรคหนึ่งด้วย


              การนับระยะเวลาการทำงานตามวรรคสอง กรณีผู้มีเงินได้เคยใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้ที่ได้รับเมื่อออกจากงานจากนายจ้างคนใดแล้ว หรือผู้มีเงินได้เมื่อออกจากงานจากนายจ้างคนใดแล้วมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างนั้นและเข้าทำงานใหม่เกินหนึ่งปี ให้นับระยะเวลาการทำงานเฉพาะที่ได้ทำกับนายจ้างหลังจากนั้น”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 252) ใช้บังคับตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป)

             (ข) ในกรณีที่มีการจ่ายเงินได้ตามข้อ 1 ไม่ว่าจะจ่ายหรือแบ่งจ่ายจากเงินประเภทเดียวกันหรือหลายประเภท ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะเงินได้ที่ได้จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้ดังกล่าวเท่านั้น”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 303) ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2560 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป )

              ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่มีการจ่ายเงินได้ตามข้อ 1 ให้แก่ข้าราชการซึ่งได้ลาออกจากราชการตามโครงการที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการให้เงินช่วยเหลือแก่ข้าราชการซึ่งลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 83) ใช้บังคับตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นไป)

            (ค) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในกรณีนี้ได้เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีตามมาตรา 48 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน




 

ศึกษาเพิ่มเติมเคสอื่นๆEP.8 การคำนวณภาษีเงินชดเชยออกจากงาน เงินชดเชยเกษียณอายุ เงินเลิกจ้าง (Tax Case Study)  คลิ๊กที่นี่



 






พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541



อ้างอิงคำตอบ

เรื่อง

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเงินได้จากการเกษียณอายุตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

18/01/2007

เลขที่หนังสือ

กค 0706/515

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ข้อกฎหมาย

ข้อ 2(51) กฎกระทรวง ฉบับที่ 126ฯ

ข้อหารือ

     นาย ก. ทำงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและได้เกษียณอายุเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 โดยได้รับเงินชดเชยจากการเกษียณอายุ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน นาย ก. จึงขอทราบว่าเงินได้จากการเกษียณอายุซึ่งเป็นเงินชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานดังกล่าวนั้น เข้าลักษณะเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เฉพาะค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน 300 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ตาม ก 3. เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานของใบแนบแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใช่หรือไม่

แนววินิจฉัย

     เงินชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเฉพาะส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน 300 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ไม่รวมถึงค่าชดเชยที่ลูกจ้างหรือพนักงานได้รับเพราะเหตุเกษียณอายุหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง ทั้งนี้ ตามข้อ 2(51) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ดังนั้น กรณีนาย ก. ได้รับเงินชดเชยจากการเกษียณอายุ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานตาม ก 3. เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานของใบแนบแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

เลขตู้

70/34734


เรื่อง

ภาระภาษีเงินได้ชดเชยออกจากงานกรณีเกษียณอายุ

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 06/04/2022 - วันที่ตอบ 01/05/2022

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

ข้อกฎหมาย

มาตรา 50 (1) วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

รบกวนสอบถามกรณีมีเงินได้ชดเชยออกจากงานกรณีเกษียณอายุ อายุการทำงานเกิน 17 ปี ถูกหักภาษีไปเรียบร้อยแล้วกรณีนี้ต้องนำภาษีรายการนี้มารวมคำนวณเสียภาษีกับเงินเดือนอีกหรือเปล่าค่ะ หรือสามารถเลือกแบบไม่นำมาคำนวณกับเงินเดือนได้หรือเปล่าค่ะ

วิสัชนา

ตามมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร

    “มาตรา 48 เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้

          (5) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได ้สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากับ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานแต่ไม่เกินเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้น แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้    

               ในกรณีเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จจำนวนหนึ่งและเงินบำนาญอีกจำนวนหนึ่ง ให้ถือว่าเฉพาะเงินที่จ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จเป็นเงินซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน และให้ลดค่าใช้จ่ายจำนวน 7,000 บาท ลงเหลือ 3,500 บาท

               จำนวนปีที่ทำงานตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ทางราชการจ่าย ให้ถือจำนวนปีที่ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นในลักษณะเดียวกันนั้นตามกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับของทางราชการ

               ในการคำนวณจำนวนปีที่ทำงาน นอกจากกรณีตามวรรคสาม เศษของปี ถ้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ถือเป็นหนึ่งปี ถ้าไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ปัดทิ้ง”  

    อธิบดีกรมสรรพากรอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 48 (5) และมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) กำหนดลักษณะของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ตามมาตรา 48 (5) และมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และจ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

    “ข้อ 1 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานให้หมายถึงเงินได้ดังนี้

         (ก) เงินได้ที่คำนวณตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเช่นเดียวกับวิธีการคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

         (ข) เงินที่จ่ายจากกองทุนดังนี้

              1) เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

              2) เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

              3) เงินที่จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนที่ได้จากการโอนหรือเกี่ยวเนื่องจากการโอนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

         (ค) เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

         (ง) เงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการตาม (ก)

    ข้อ 2 เงินได้พึงประเมินตามข้อ 1 ที่ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่นตามมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากรได้ จะต้องมีเงื่อนไขดังนี้

         (ก) เป็นเงินได้ที่จ่ายให้เนื่องจากออกจากงานที่มีระยะเวลาทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี...

         (ข) ในกรณีที่มีการจ่ายเงินได้ตามข้อ 1 ไม่ว่าจะจ่ายหรือแบ่งจ่ายจากเงินประเภทเดียวกันหรือหลายประเภท ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะเงินได้ที่ได้จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้ดังกล่าวเท่านั้น”  

         (ค) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในกรณีนี้ได้เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีตามมาตรา 48 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน...” 



 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

   กรณีบุคคลธรรมดามีเงินได้ค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานเนื่องจากการออกจากงานกรณีเกษียณอายุ โดยมีอายุการทำงานเกิน 17 ปี ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ไว้เรียบร้อยแล้ว กรณีนี้ผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรมดาเท่าที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย โดยต้องนำรายการเงินได้ดังกล่าว และจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายไปกรอกในใบแนบแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90/91 โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีกับเงินเดือนอีกแต่อย่างใด



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"


เรื่อง

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีผู้มีเงินได้ครบเกษียณอายุงาน

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

05/09/2007

เลขที่หนังสือ

กค 0706/8986

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

ข้อกฎหมาย

มาตรา 40(1)(2) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

     การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) (2) แห่งประมวลรัษฎากรผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินต้องคำนวณหักตามวิธีการตามมาตรา 50(1)แห่งประมวลรัษฎากรโดยให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีซึ่งสหภาพแรงงานฯ เห็นว่า มาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากรไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนเกี่ยวกับผู้เกษียณอายุผู้ปฏิบัติงานโดยตรงและโดยความเป็นจริง การเกษียณอายุผู้ปฏิบัติงานในปีใดนั้น จะมีรายได้เพียง 9เดือน เนื่องจากใช้หลักเกณฑ์การเกษียณอายุผู้ปฏิบัติงานให้พ้นจากตำแหน่งในวันที่ 1ตุลาคมของทุกปี ดังนั้นการคำนวณเงินได้พึงประเมินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีเสมอ ซึ่งต้องคูณด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายคือ 12 เสมอ จึงไม่ถูกต้อง สหภาพแรงงานฯ
      
จึงขอทราบว่า การคำนวณเงินได้พึงประเมินให้เป็นไปตามความเป็นจริงในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายสำหรับผู้เกษียณอายุผู้ปฏิบัติงานสามารถดำเนินการได้หรือไม่หากไม่สามารถดำเนินการได้ขอได้โปรดนำเสนอแก้กฎหมายต่อไป

แนววินิจฉัย

     กรณีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากรต้องคำนวณหักตามวิธีการตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากรโดยให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีเสมอไม่ว่าผู้มีเงินได้จะเกษียณอายุระหว่างปีหรือไม่ก็ตาม กรณีหน่วยงานจ่ายเงินเดือนเป็นรายเดือน การคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับผู้เกษียณอายุผู้ปฏิบัติงานต้องคูณด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายคือ 12 เสมอเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่า ได้จ่ายทั้งปี โดยไม่คำนึงว่า ผู้เกษียณอายุผู้ปฏิบัติงานจะทำงานเต็มปีหรือไม่ก็ตาม

เลขตู้

70/35256


หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ