การเฉลี่ยภาษีซื้อของปีที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการทั้งสองประเภทกิจการ ตามข้อ 2 (1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) ดังนี้ “ข้อ 2 ผู้ประกอบการจดทะเบียนประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาในการประกอบกิจการของตนไปใช้หรือจะใช้ในกิจการทั้งสองประเภท ถ้าไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อที่เกิดจากสินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด ให้เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของแต่ละกิจการ ดังนี้ (1) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเริ่มประกอบกิจการ หรือได้ประกอบกิจการมาแล้วแต่ยังไม่มีรายได้ ให้ประมาณการรายได้ของกิจการทั้งสองประเภทของปีที่เริ่มมีรายได้ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของประมาณการรายได้ดังกล่าว และให้นำภาษีซื้อที่เฉลี่ยได้ตามส่วนของประมาณการรายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาหักออกจากภาษีขาย แต่ภาษีซื้อดังกล่าวจะต้องมีจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่งของภาษีซื้อที่นำมาเฉลี่ย สำหรับในปีถัดจากปีที่เริ่มประกอบกิจการและยังไม่มีรายได้ถึงสิ้นปีของปีที่เริ่มมีรายได้ ให้เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของประมาณการรายได้ตามเกณฑ์ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง เมื่อสิ้นปีที่เริ่มมีรายได้ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนคำนวณภาษีซื้อที่หักได้จริงตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้ปรับปรุงภาษีซื้อที่ได้นำมาหักออกจากภาษีขายแล้วตามหลักเกณฑ์ตาม (2) ปีที่เริ่มมีรายได้ให้หมายถึง ปีแรกที่มีรายได้เกิดขึ้นจริงไม่น้อยกว่า 6 เดือนภาษี” ดังนี้น กรณีบริษัท A จำกัด มีรายได้ที่ได้รับการยกเว้น VAT และรายได้ที่ต้องเสีย VAT 7% บริษัทฯ จึงต้องเฉลี่ยภาษีซื้อ สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับรายได้ทั้ง 2 ส่วนโดยบริษัทฯ เพิ่งจดทะเบียนเข้าในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ในเดือน ธันวาคม 2566 และเริ่มมีรายได้ในเดือน มีนาคม 2567 โดยบริษัทฯ ได้ประมาณการรายได้เพื่อเฉลี่ยภาษีซื้อในอัตรา 50:50 และถ้าตอนสิ้นปี 2567 รายได้ที่เกิดขึ้นจริง ของ รายได้ที่ยกเว้น VAT เท่ากับ 40% และรายได้ที่เสีย VAT เท่ากับ 60% 1. ในปีแรกที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการทั้งสองประเภทกิจการ ได้แก่ รอบระยะเวลาบัญชีปี 2567 บริษัทฯ จึงต้องปรับปรุงการเฉลี่ยภาษีซื้อที่เคยเฉลี่ยตามแบบ ภ.พ.30 ด้วยแบบ ภพ.30.2 ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ถูกต้องแล้วครับ
2. บริษัทฯ จะต้องปรับปรุงภาษีซื้อ ตั้งแต่ เดือน ธันวาคม 2567 ถึง ธันวาคม 2568 ถูกต้องแล้วครับ
3. ส่วนต่างของยอดภาษีซื้อตามอัตราที่เกิดขึ้นจริงกับอัตราที่ประมาณการไว้ ที่บริษัทฯ มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อได้เพิ่มอีก 10% นั้นบริษัทฯ จะต้องปรับปรุงแก้ไขรายการบัญชีที่เคยบันทึกไว้ ด้วยส่วนต่างที่เกิดจากการเฉลี่ยภาษีซื้อสูงไปในบัญชี ค่าใช้จ่าย และสินทรัพย์ ในแต่ละรายการบัญชี แม้จะเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากมากก็ตาม บริษัทฯ ไม่สามารถเลือกปรับปรุงผลต่าง เข้าบัญชี รายได้ หรือ ค่าใช้จ่าย (ในกรณีกลับกัน) ได้ ทั้งนี้ตามข้อ 2 (2) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) ดังนี้ “(2) การปรับปรุงภาษีซื้อตาม (1) ให้กระทำในเดือนภาษีถัดจากเดือนภาษีสุดท้ายของปีที่เริ่มมีรายได้ โดยให้ปรับปรุงตั้งแต่เดือนภาษีแรกที่ได้มีการเฉลี่ยภาษีซื้อถึงเดือนภาษีสุดท้ายของปีที่เริ่มมีรายได้ ดังนี้ (ก) ในกรณีภาษีซื้อที่เฉลี่ยได้และได้นำมาหักออกจากภาษีขายแล้ว มีจำนวนเกินกว่าภาษีซื้อที่หักได้จริง ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนชำระภาษีซื้อส่วนที่เกินนั้นพร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มอีกหนึ่งฉบับ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนภาษีที่มีการปรับปรุงภาษีซื้อและให้นำภาษีซื้อส่วนที่เกินนั้นซึ่งยังมิได้นำไปรวมคำนวณเป็นมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายของกิจการ ไปรวมคำนวณเป็นมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายของกิจการในปีที่เกี่ยวข้อง (ข) ในกรณีภาษีซื้อที่เฉลี่ยได้และได้นำมาหักออกจากภาษีขายแล้วมีจำนวนน้อยกว่าภาษีซื้อที่หักได้จริง ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นคำร้องขอคืนภาษีซื้อส่วนที่ขาดนั้น ตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และให้นำภาษีซื้อส่วนที่ขาด ซึ่งได้นำไปรวมคำนวณเป็นมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายของกิจการแล้วไปหักออกจากมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายของกิจการในปีที่เกี่ยวข้อง
4. และในปีถัดไป บริษัทฯ สามารถเลือกเฉลี่ยภาษีซื้อจากอัตราส่วนของรายได้ในปีก่อน โดยไม่ต้องปรับปรุงตอนสิ้นปี ด้วยแบบ ภพ.30.2 อีกต่อไปได้ ถูกต้องแล้วครับ ทั้งนี้ตามข้อ 2 (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) ดังนี้ “(3) สำหรับปีถัดจากปีที่เริ่มมีรายได้เป็นต้นไป ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาโดยไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้ออีก และในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนประสงค์จะปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปีของกิจการทั้งสองประเภทก็ให้กระทำได้ ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ตาม (2) มาใช้บังคับโดยอนุโลมและเมื่อได้เลือกปฏิบัติเป็นอย่างใดแล้ว ก็ให้ถือปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงได้ รายได้ของปีที่ผ่านมาตามวรรคหนึ่ง หมายถึง รายได้ของปีก่อนปีปัจจุบัน 1 ปี (4) การปรับปรุงภาษีซื้อตามข้อนี้ ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 89 และมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร” ทั้งนี้ รายได้ที่นำมาใช้ในการเฉลี่ยภาษีซื้อ ใช้สัดส่วนรายได้อย่างไร สามารถนำรายได้จาก ภ.พ.30 มาเป็นเกณฑ์ในการเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกั้บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) ฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |