Case study

ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีส่งออกทรัพย์สินไปให้บริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยไม่คิดมูลค่า


เรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีส่งออกทรัพย์สินไปให้บริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยไม่คิดมูลค่า
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 09/05/2025
ประเภทภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย
คำถาม

 มาตรา 70 ตรี บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่ หรือตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่ สาขา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตัวการ ตัวแทน นายจ้าง หรือลูกจ้าง ให้ถือว่าการที่ได้ส่งสินค้าไปนั้นเป็นการขายในประเทศไทยด้วย และให้ถือราคาสินค้าตามราคาตลาดในวันที่ส่งไปเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งไปนั้น ความในวรรคก่อนมิให้ใช้บังคับในกรณีที่สินค้านั้น

(1) เป็นของที่ส่งไปเป็นตัวอย่างหรือเพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ 

(2) เป็นของผ่านแดน

(3) เป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร แล้วส่งกลับออกไปให้ผู้ส่งเข้ามาภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่สินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร 

(4) เป็นของที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรแล้วส่งกลับคืนเข้ามาให้ผู้ส่งในราชอาณาจักรภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร

คำถาม 

มาตรา 70 ตรี ที่กล่าวถึงเรื่อง การส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ ให้กับ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ให้ถือว่าการที่ได้ส่งสินค้าไปนั้นเป็นการขายในประเทศไทยด้วย โดยให้ถือราคาสินค้าตามราคาตลาดในวันที่ส่งไปเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งไปนั้น หมายถึง บริษัท ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ด้วยหรือไม่ หากถือเป็นการขายในประเทศไทย  (แม้ว่าบริษัทจะมีเอกสารการส่งออกผ่านด่านศุลกากรครบถ้วนก็ตาม ก็ไม่ใช่ VAT0% เหรอคะ)   และ  ในส่วนที่เป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ บริษัท ต้องรับรู้เป็นรายได้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ใช่หรือไม่คะ รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะคะ  

คำตอบ

ตอบ


ภาษีเงินได้นิติบุคคล

เนื่องจาก มาตรา 70 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ภายใต้ ส่วน 3 หมวด 3 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร  :  ซึ่ง ส่วน 3  คือ การเก็บภาษีจากบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ดังนั้น คำว่า “เป็นการขายในประเทศไทย” นั้น จึงเป็นการย้ำว่า ธุรกรรมนี้ (การส่งของออกไปโดยไม่คิดมูลค่า) ให้หมายความ ว่า เป็นการขายในประเทศไทย  (ประเทศไทย จึงมีสิทธิ์เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร)  

การส่งออกทรัพย์สินเนื่องจากเลิกกิจการในประเทศไทย ไปให้บริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น ให้  ถือเป็นการขาย ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งไปนั้น โดยให้ถือราคาสินค้าตามราคาตลาด (ราคา FOB) ในวันที่ส่งไปเป็นรายได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 70 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร  

 


มาตรา 66  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้
             ( 
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.62/2539 )
             ( 
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.120/2545 )
             บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่น ๆ รวมทั้งในประเทศไทย ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชี และการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา 65 และมาตรา 65 ทวิ แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังกล่าวแล้วได้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา 71 (1) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
             ( 
ดูคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 7/2528 )
             
( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 13/2528 )



ภาษีมูลค่าเพิ่ม


สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม  อยู่ภายใต้   หมวด 4  ลักษณะ 2    แห่งประมวลรัษฎากร  ดังนั้น คำว่า “เป็นการขายในประเทศไทย” ตามมาตรา 70 และ  การขายสินค้า ตามมาตรา 77/1(8)(9)   ซีงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตาม มาตรา 77/2(1)   จึงมีนิยามที่แตกต่างกัน (ไม่พึงที่จะนำมาพิจารณาร่วมกันเพราะอยู่คนละหมวดกัน และไม่ได้มีกฏหมายพิเศษให้ใช้นิยามร่วมกัน)   

ดังนั้น เมื่อบริษัทได้ส่งออกทรัพย์สินไปให้บริษัทญี่ปุ่น ผ่านพิธีการศุลกากรถูกต้อง  และมีเอกสารการส่งออกผ่านด่านศุลกากรครบถ้วน   บริษัทก็มีสิทธิ์ที่จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT0% ตามมาตรา 80/1 แห่งประมวลรัษฎากร 


มาตรา 77/1 ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

(8) " ขาย " หมายความว่า จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึง

“(9) “สินค้า” หมายความว่า ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใด ๆ และให้หมายความรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างที่ส่งมอบโดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นใด”


มาตรา 77/2 การกระทำกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักรให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามบทบัญญัติในหมวดนี้
             (1) การขายสินค้าหรือการให้บริการโดยผู้ประกอบการ



มาตรา 80/1ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

(1) การส่งออกสินค้าที่มิใช่การส่งออกสินค้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (3)
             ( 
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.97/2543 )



มาตรา 78ภายใต้บังคับมาตรา 78/3 ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการขายสินค้า ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
 

  (4) การขายสินค้าโดยส่งออกให้ความรับผิดเกิดขึ้นดังต่อไปนี้
 
                  (ก) การส่งออกนอกจากที่ระบุใน (ข) หรือ (ค) ให้ความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อชำระอากรขาออก วางหลักประกันอากรขาออก หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาออก เว้นแต่ในกรณีที่ไม่ต้องเสียอากรขาออกหรือได้รับยกเว้นอากรขาออก แล้วแต่กรณี ก็ให้ถือว่าความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่มีการออกใบขนสินค้าขาออกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
 
                  (ข) การส่งออกในกรณีที่นำสินค้าเข้าไปในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (14) (ก) ให้ความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่นำสินค้าในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตดังกล่าว
                   ( พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 35) พ.ศ. 2544 )
                   (ค) การส่งออกซึ่งสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ให้ความรับผิดเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร



อ้างอิง

เรื่อง

กิจการขายส่งออกอัญมณี ต้องส่งสินค้าออกไปให้ลูกค้าตรวจสอบก่อนจะตัดสินใจซื้อจริง

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 23/04/2024 - วันที่ตอบ 01/05/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 70 ตรี, มาตรา 80/1 (1), มาตรา 82/10 แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

บริษัทฯ ทำธุรกิจขายส่งออกอัญมณี เนื่องจากก่อนขายสินค้า บริษัทฯ ต้องส่งของไปให้ลูกค้าตรวจสอบอัญมณีก่อน บริษัทฯ จึงออกแค่ proforma invoice สำหรับส่งออกผ่านพิธีการมทางศุลกากร และเจ้าพนักงานสรรพากรแนะนำให้บริษัทฯ ยื่นรายได้จาก proforma invoice ด้วยใน ภ.พ.30 หลังจากลูกค้าคอนเฟิร์มอัญมณีหลังตรวจ บริษัทฯ จึงจะออกอินวอยซ์ขาย

คำถาม
 เนื่องจากเรายื่น proforma invoice ไปในรายได้ของ ภ.พ.30 แล้ว ถ้าเกิดว่า ลูกค้าสั่งอัญมณีไม่ตรงกับ proforma invoice ที่เราส่งออกไปแล้ว โดยมูลค่าสินค้าลดลง
เราควรออกเอกสารอะไรแนบเพื่อยื่น ภ.พ.30 ลดลงไหมครับหรือว่าควรจะออก invoice ตั้งแต่ส่งออกเลยครับถ้าลูกค้าลดสินค้าค่อยออก CN.

วิสัชนา

1. ตามมาตรา 70 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้ถือว่า การส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่หรือตามคำสังของลูกค้า ถือเป็นการขาย โดยให้ถือราคาสินค้าตามราคาตลาด (ราคา FOB) ในวันที่ส่งไปเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งไปนั้น ดังนี้

    “มาตรา 70 ตรี บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่หรือตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่ สาขา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตัวการ ตัวแทน นายจ้าง หรือลูกจ้าง ให้ถือว่าการที่ได้ส่งสินค้าไปนั้นเป็นการขายในประเทศไทยด้วย และให้ถือราคาสินค้าตามราคาตลาดในวันที่ส่งไปเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งไปนั้น

         ความในวรรคก่อนมิให้ใช้บังคับในกรณีที่สินค้านั้น

         (1) เป็นของที่ส่งไปเป็นตัวอย่างหรือเพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ

         (2) เป็นของผ่านแดน

         (3) เป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร แล้วส่งกลับออกไปให้ผู้ส่งเข้ามาภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่สินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร

         (4) เป็นของที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แล้วส่งกลับคืนเข้ามาให้ผู้ส่งในราชอาณาจักรภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร” 



 

2. ตามมาตรา 77/1 (ค) แห่งประมวลรัษฎากร  

    “มาตรา 77/1 ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

         “ขาย” หมายความว่า จำหน่าย จ่าย โอนสินค้าไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึง

               (ก) สัญญาให้เช่าซื้อสินค้า สัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อได้ส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อแล้ว หรือสัญญาจะขายสินค้าที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี

               (ข) ส่งมอบสินค้าให้ตัวแทนเพื่อขาย

               (ค) ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักร

               (ง) นำสินค้าไปใช้ไม่ว่าประการใด ๆ เว้นแต่การนำสินค้าไปใช้เพื่อการประกอบกิจการของตนเองโดยตรงตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 1) ประกอบ)

               (จ) มีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบตามมาตรา 87 (3) หรือมาตรา 87 วรรคสอง

               (ฉ) มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ แต่ไม่รวมถึงสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือผู้รับโอนกิจการต้องอยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3

               (ช) กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

(ดู กฎกระทรวง ฉบับที่ 188 (พ.ศ. 2534) ประกอบ)

        (14) “ส่งออก” หมายความว่า ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึง

               (ก) การนำสินค้าในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตปลอดอากรเฉพาะสินค้าที่ต้องเสียอากรขาออกหรือที่ได้รับยกเว้นอากรขาออกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 125) ประกอบ)

               (ข) การขายสินค้าของคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่ขายให้แก่ผู้ที่เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 125) ประกอบ)



 

3. ตามมาตรา 78 (4) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดหลักเกณฑ์ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากการส่งออกสินค้าดังนี้

    “มาตรา 78 ภายใต้บังคับมาตรา 78/3 ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการขายสินค้า ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

         (4) การขายสินค้าโดยส่งออกให้ความรับผิดเกิดขึ้นดังต่อไปนี้

              (ก) การส่งออกนอกจากที่ระบุใน (ข) หรือ (ค) ให้ความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อชำระอากรขาออก วางหลักประกันอากรขาออก หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาออก เว้นแต่ในกรณีที่ไม่ต้องเสียอากรขาออกหรือได้รับยกเว้นอากรขาออก แล้วแต่กรณี ก็ให้ถือว่าความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่มีการออกใบขนสินค้าขาออกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

              (ข) การส่งออกในกรณีที่นำสินค้าเข้าไปในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (14) (ก) ให้ความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่นำสินค้าในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตดังกล่าว

              (ค) การส่งออกซึ่งสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ให้ความรับผิดเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร”



 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัทฯ ประกอบกิจการขายส่งออกอัญมณี

1. เนื่องจากก่อนขายสินค้า บริษัทฯ ต้องส่งของไปให้ลูกค้าตรวจสอบอัญมณีก่อน บริษัทฯ จึงออกแค่ proforma invoice สำหรับส่งออกผ่านพิธีการมทางศุลกากร นั้น  

    1.1 กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล

          การส่งส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่หรือตามคำสั่งของลูกค้าดังกล่าว ถือเป็นการขาย ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งไปนั้น โดยให้ถือราคาสินค้าตามราคาตลาด (ราคา FOB) ในวันที่ส่งไปเป็นรายได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 70 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร  

    1.2 กรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม

          การส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่หรือตามคำสั่งของลูกค้าดังกล่าว โดยดำเนินพิธีการทางศุลกากร เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1 (ค) และ (14) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ต้องนำรายได้จากการส่งออกในกรณีนี้ มากรอกแบบ ภ.พ.30 โดยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 0% ตามมาตรา 80/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

    ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานสรรพากรแนะนำให้บริษัทฯ ยื่นรายได้จาก proforma invoice ใน ภ.พ.30 จึงเป็นกรณีที่ถูกต้องแล้ว



 

2. หลังจากลูกค้าคอนเฟิร์มอัญมณีหลังตรวจ เราถึงจะออกอินวอยซ์ขาย เนื่องจากบริษัทฯ ได้ยื่น  proforma invoice เป็นนรายได้ในแบบ ภ.พ.30 สำหรับเดือนภาษีที่ได้ผ่านพิธีการทางศุลกากรแล้ว

    2.1 กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล

          บริษัทฯ ต้องรับรู้รายได้จากการขายสินค้า ตาม Invoice อีกครั้งหนึ่ง โดยนำรายได้ตามที่กฎหมายกำหนดให้ถือเป็นการขายมาคำนวณเป็นต้นทุน ตามหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้ (Matching Principle) ส่วนแตกต่างที่ลูกค้าไม่รับซื้อ ในทางบัญชียังคงถือเป็นสินค้าคงเหลือ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

    2.2 กรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม การขายสินค้าในกรณี เข้าลักษณะเป็นรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากเป็นการส่งมอบสินค้าในต่างประเทศ จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope: Out - Out) 

    สำหรับ กรณีลูกค้าสั่งอัญมณีไม่ตรงกับ proforma invoice ที่บริษัทฯ ส่งออกไปแล้ว โดยมูลค่าสินค้าลดลง บริษัทฯ ไม่ต้องออกเอกสารใด ๆ เพื่อยื่นแบบ ภ.พ.30 สำหรับมูลค่าที่ลดลงดังกล่าว เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนตามมาตรา 82/10 แห่งประมวลรัษฎากร



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์

หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ