ผมมีเรื่องขอรบกวนสอบถามท่านอาจารย์ ดังต่อไปนี้ ข้อเท็จจริง หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโควิด บริษัท ก. ซึ่งประกอบธุรกิจด้านการปั๊มชิ้นส่วนโลหะ เพื่อส่งให้กับค่ายรถยนต์ต่างๆ ก็มีปริมาณลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้ประกอบการหลายราย ย้ายฐานการผลิต และบางส่วนก็ลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปั๊มชิ้นงานด้วยตนเอง ผลประกอบการกำไรของบริษัทฯ จึงลดลงอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าอาจจะขาดทุนมากในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ผู้บริหารจึงมีดำริที่จะให้โอนขายทรัพย์สินเกือบทั้งหมด ที่จำเป็นสำหรับการรับจ้างปั๊มชิ้นส่วนโลหะของบริษัท ก. ไปให้บริษัท ข. (ซึ่งปกติประกอบธุรกิจด้านรับจ้างผลิตแม่พิมพ์โลหะ) ซึ่งทั้งสองบริษัท มีความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้ 1. บริษัท ก. และบริษัท ข. มีจำนวนผู้ถือหุ้น 16 คน เท่ากัน และเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันทั้งหมด 2. ผู้ถือหุ้นบริษัท ก. และบริษัท ข. ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน และมูลค่าหุ้น ๆ ละ 100 บาท เหมือนกันทั้งสองบริษัท 3. บริษัท ก. และบริษัท ข. มีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วเต็มมูลค่า จำนวนเงิน 30 ล้านบาท 4. กรรมการของบริษัท ก. มี 7 ราย (จำนวน 5 ใน 7 ราย เป็นกรรมการท่านเดียวกันกับกรรมการของบริษัท ข.) และกรรมการของบริษัท ข. มี 5 ราย 5. ในหนังสือรับรองบริษัท ของทั้งสองบริษัท ระบุไว้ว่า กรรมการอย่างน้อย 2 ราย เป็นผู้ลงลายมือชื่อผูกผันนิติบุคคล
แผนงานเลิกบริษัท • ตรวจนับทรัพย์สินและสำรวจความมีอยู่จริง + สภาพของทรัพย์สิน • ตรวจนับสินค้าคงคลัง • แยกสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ก. ออกเป็นสองส่วน ได้แก่ 1. ส่วนที่จำเป็นในการรับจ้างปั๊มชิ้นงาน และยังมีสภาพดี เพื่อเตรียมขายไปที่ บริษัท ข. 2. ส่วนที่เสื่อมสภาพ หรือ ชำรุดเสียหาย เตรียมเปิดประมูลขาย ไปยังผู้รับซื้ออิสระภายนอก (ประมูลอย่างน้อย 3 ราย ให้เข้ามาเสนอราคารับซื้อซาก) • สินทรัพย์ถาวรที่ตั้งใจจะขายไปให้กับ บริษัท ข. ทางบริษัทฯ ได้ว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระ (ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.) มาเป็นผู้ดำเนินการประเมินราคาตลาดให้ • การกำหนดราคาขายสินทรัพย์ถาวร บริษัทฯ จะใช้ราคาประเมินจากผู้ประเมินราคาอิสระ เป็นราคาขายตั้งต้น อย่างไรก็ตาม หากพบว่า ราคาประเมินต่ำกว่าราคาสินทรัพย์สินถาวรสุทธิ (net book value) ทางบริษัทฯ จะไม่ยินยอมให้ราคาขายต่ำกว่า NBV เด็ดขาด • บริษัทฯ ตั้งใจ ที่จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากราคาประเมินมูลค่าทรัพย์สิน (ราคาตลาด) ทุกรายการ • สินค้าคงเหลือ ได้แก่ 1. วัตถุดิบ ตั้งใจจะขายไปที่ บริษัท ข. ด้วยราคาทุน + กำไร 10% 2. สินค้าสำเร็จรูป ตั้งใจจะขายไปที่ บริษัท ข. ด้วยราคาทุน + กำไร 5% • บัญชีลูกหนี้การค้า ของบริษัท ก. ทั้งหมด กิจการจะรอให้ได้รับชำระให้ครบถ้วนก่อน ตามเครดิตเทอม 30-60 วัน • บัญชีเจ้าหนี้การค้า ของบริษัท ข. ทั้งหมด กิจการจะรอจ่ายชำระหนี้ ให้ครบถ้วนก่อน ตามเครดิตเทอม 30-90 วัน • เคลียร์จ่ายชำระหนี้ บัญชีค้างรับ ค้างจ่าย และบัญชีเจ้าหนี้ภาษีอากร ทั้งหมดทุกบัญชี ให้เรียบร้อยครบถ้วน • วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ทางบริษัทฯ จะขายทรัพย์สินถาวร และสินค้าคงคลัง ไปให้กับบริษัท ข. • บริษัท ก. ยังผลิตสินค้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 จึงจะหยุดการผลิต • ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ธุรกิจการรับจ้างปั๊มชิ้นส่วนโลหะ (จากเดิมที่บริษัท ก. เป็นผู้ผลิต) จะถูกดำเนินการผลิตที่ บริษัท ข.แทนที่) • บริษัทฯ จะมีจดหมายแจ้งไปยังลูกค้าเดิมของบริษัท ก. ว่า จะเลิกธุรกิจแล้ว ส่วนลูกค้าจะไปซื้อที่ไหนก็ได้ ไม่มีข้อผูกมัด • ภ.ง.ด.50 ปี 2565 บริษัท ก. ที่วางแผนเลิกบริษัท มีลูกหนี้ขอคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย อยู่ประมาณ 1 ล้านบาทเศษ • ความตั้งใจแรกเริ่ม บริษัทฯ ตั้งใจ เคลียร์บัญชีทั้งหมด และขายทรัพย์สิน โดยบริษัท ก. จะเลิกประกอบกิจการ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป และ รอรับคืนภาษีจากกรมสรรพากร (ภ.ง.ด.50 ปี 2565) ให้เรียบร้อยก่อน จึงค่อยไปจดทะเบียนเลิกบริษัท ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชี + แจ้งเลิกผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร ภายใน 15 วัน นับแต่วันแจ้งเลิกบริษัท
ประเด็นคำถาม (ทางภาษีอากร) 1. ในทางกฎหมายตามที่ได้สอบถามกับทนายประจำบริษัทฯ พบว่า บริษัทฯ สามารถไปแจ้งเลิกบริษัทฯ ทันที กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2566 ซึ่งถ้าหากบริษัทฯ ดำเนินการเช่นว่านั้น จะส่งผลกระทบต่อการขอคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตาม ภงด.50 ของปี 2565 หรือไม่ อย่างไร
2. ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท ก. และ บริษัท ข. ถือเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตามนิยามในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่อย่างไร
3. ลักษณะการขายสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ก. ไปยัง บริษัท ข. ด้วยราคาประเมินของผู้ประเมินราคาอิสระจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยหรือไม่ (อ้างอิง ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน ของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร)
4. สมมติว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามคำถามข้อ 3. อ้างอิงประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับดังกล่าวและได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หากบริษัทประสงค์จะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินทรัพย์ถาวรและสินค้าคงเหลือที่ขายไปยังบริษัท ข. จะมีประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ อย่างไร (เช่น ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษีขายสินทรัพย์ถาวร หรือไม่)
5. การขายสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ก. ไปยัง บริษัท ข. เข้าลักษณะเงื่อนไขการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันของบริษัทจำกัด หรือไม่อย่างไร
6. บริษัท ก. และบริษัท ข. จะต้องแจ้ง ภ.พ.09 ต่อกรมสรรพากรอย่างไร (ยกตัวอย่างเช่น ควรดำเนินการแจ้งว่าเป็นการเลิกกิจการในข้อ 3.1 หรือแจ้งว่าเป็นการควบรวมกิจการบางส่วนในข้อ 3.3 หรือแจ้งว่าเป็นการโอนกิจการบางส่วนในข้อ4.) เกรงว่าจะถูกกรมสรรพากรแจ้งค่าปรับ เนื่องจากไม่แจ้ง ภ.พ.09 |