Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

การโอนกิจการระหว่างกันของบริษัทในเครือ


เรื่อง การโอนกิจการระหว่างกันของบริษัทในเครือ
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 27/04/2023 - วันที่ตอบ 01/05/2023
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย มาตรา 85/13 แหงประมวลรัษฎากร
ปุจฉา
ผมมีเรื่องขอรบกวนสอบถามท่านอาจารย์ ดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริง
    หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโควิด บริษัท ก. ซึ่งประกอบธุรกิจด้านการปั๊มชิ้นส่วนโลหะ เพื่อส่งให้กับค่ายรถยนต์ต่างๆ ก็มีปริมาณลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้ประกอบการหลายราย ย้ายฐานการผลิต และบางส่วนก็ลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปั๊มชิ้นงานด้วยตนเอง ผลประกอบการกำไรของบริษัทฯ จึงลดลงอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าอาจจะขาดทุนมากในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ผู้บริหารจึงมีดำริที่จะให้โอนขายทรัพย์สินเกือบทั้งหมด ที่จำเป็นสำหรับการรับจ้างปั๊มชิ้นส่วนโลหะของบริษัท ก. ไปให้บริษัท ข. (ซึ่งปกติประกอบธุรกิจด้านรับจ้างผลิตแม่พิมพ์โลหะ) ซึ่งทั้งสองบริษัท มีความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้
    1. บริษัท ก. และบริษัท ข. มีจำนวนผู้ถือหุ้น 16 คน เท่ากัน และเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันทั้งหมด
    2. ผู้ถือหุ้นบริษัท ก. และบริษัท ข. ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน และมูลค่าหุ้น ๆ ละ 100 บาท เหมือนกันทั้งสองบริษัท
    3. บริษัท ก. และบริษัท ข. มีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วเต็มมูลค่า จำนวนเงิน 30 ล้านบาท
    4. กรรมการของบริษัท ก. มี 7 ราย (จำนวน 5 ใน 7 ราย เป็นกรรมการท่านเดียวกันกับกรรมการของบริษัท ข.) และกรรมการของบริษัท ข. มี 5 ราย 
    5. ในหนังสือรับรองบริษัท ของทั้งสองบริษัท ระบุไว้ว่า กรรมการอย่างน้อย 2 ราย เป็นผู้ลงลายมือชื่อผูกผันนิติบุคคล

แผนงานเลิกบริษัท
• ตรวจนับทรัพย์สินและสำรวจความมีอยู่จริง + สภาพของทรัพย์สิน
• ตรวจนับสินค้าคงคลัง
• แยกสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ก. ออกเป็นสองส่วน ได้แก่ 
    1. ส่วนที่จำเป็นในการรับจ้างปั๊มชิ้นงาน และยังมีสภาพดี เพื่อเตรียมขายไปที่ บริษัท ข.  
    2. ส่วนที่เสื่อมสภาพ หรือ ชำรุดเสียหาย เตรียมเปิดประมูลขาย ไปยังผู้รับซื้ออิสระภายนอก (ประมูลอย่างน้อย 3 ราย ให้เข้ามาเสนอราคารับซื้อซาก) 
• สินทรัพย์ถาวรที่ตั้งใจจะขายไปให้กับ บริษัท ข. ทางบริษัทฯ ได้ว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระ (ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.) มาเป็นผู้ดำเนินการประเมินราคาตลาดให้ 
• การกำหนดราคาขายสินทรัพย์ถาวร บริษัทฯ จะใช้ราคาประเมินจากผู้ประเมินราคาอิสระ เป็นราคาขายตั้งต้น อย่างไรก็ตาม หากพบว่า ราคาประเมินต่ำกว่าราคาสินทรัพย์สินถาวรสุทธิ (net book value) ทางบริษัทฯ จะไม่ยินยอมให้ราคาขายต่ำกว่า NBV เด็ดขาด
• บริษัทฯ ตั้งใจ ที่จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากราคาประเมินมูลค่าทรัพย์สิน (ราคาตลาด) ทุกรายการ
• สินค้าคงเหลือ ได้แก่ 
    1. วัตถุดิบ ตั้งใจจะขายไปที่ บริษัท ข. ด้วยราคาทุน + กำไร 10% 
    2. สินค้าสำเร็จรูป ตั้งใจจะขายไปที่ บริษัท ข. ด้วยราคาทุน + กำไร 5%
• บัญชีลูกหนี้การค้า ของบริษัท ก. ทั้งหมด กิจการจะรอให้ได้รับชำระให้ครบถ้วนก่อน ตามเครดิตเทอม 30-60 วัน
• บัญชีเจ้าหนี้การค้า ของบริษัท ข. ทั้งหมด กิจการจะรอจ่ายชำระหนี้ ให้ครบถ้วนก่อน ตามเครดิตเทอม 30-90 วัน
• เคลียร์จ่ายชำระหนี้ บัญชีค้างรับ ค้างจ่าย และบัญชีเจ้าหนี้ภาษีอากร ทั้งหมดทุกบัญชี ให้เรียบร้อยครบถ้วน 
• วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ทางบริษัทฯ จะขายทรัพย์สินถาวร และสินค้าคงคลัง ไปให้กับบริษัท ข.
• บริษัท ก. ยังผลิตสินค้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 จึงจะหยุดการผลิต 
• ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ธุรกิจการรับจ้างปั๊มชิ้นส่วนโลหะ (จากเดิมที่บริษัท ก. เป็นผู้ผลิต) จะถูกดำเนินการผลิตที่ บริษัท ข.แทนที่) 
• บริษัทฯ จะมีจดหมายแจ้งไปยังลูกค้าเดิมของบริษัท ก. ว่า จะเลิกธุรกิจแล้ว ส่วนลูกค้าจะไปซื้อที่ไหนก็ได้ ไม่มีข้อผูกมัด 
• ภ.ง.ด.50 ปี 2565 บริษัท ก. ที่วางแผนเลิกบริษัท มีลูกหนี้ขอคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย อยู่ประมาณ 1 ล้านบาทเศษ
• ความตั้งใจแรกเริ่ม บริษัทฯ ตั้งใจ เคลียร์บัญชีทั้งหมด และขายทรัพย์สิน โดยบริษัท ก. จะเลิกประกอบกิจการ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป และ รอรับคืนภาษีจากกรมสรรพากร (ภ.ง.ด.50 ปี 2565) ให้เรียบร้อยก่อน จึงค่อยไปจดทะเบียนเลิกบริษัท ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชี + แจ้งเลิกผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร ภายใน 15 วัน นับแต่วันแจ้งเลิกบริษัท

ประเด็นคำถาม (ทางภาษีอากร)
    1. ในทางกฎหมายตามที่ได้สอบถามกับทนายประจำบริษัทฯ พบว่า บริษัทฯ สามารถไปแจ้งเลิกบริษัทฯ ทันที กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2566 ซึ่งถ้าหากบริษัทฯ ดำเนินการเช่นว่านั้น จะส่งผลกระทบต่อการขอคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตาม ภงด.50 ของปี 2565 หรือไม่ อย่างไร

    2. ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท ก. และ บริษัท ข. ถือเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตามนิยามในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่อย่างไร

    3. ลักษณะการขายสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ก. ไปยัง บริษัท ข. ด้วยราคาประเมินของผู้ประเมินราคาอิสระจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยหรือไม่ (อ้างอิง ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน ของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร)

    4. สมมติว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามคำถามข้อ 3. อ้างอิงประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับดังกล่าวและได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หากบริษัทประสงค์จะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินทรัพย์ถาวรและสินค้าคงเหลือที่ขายไปยังบริษัท ข. จะมีประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ อย่างไร (เช่น ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษีขายสินทรัพย์ถาวร หรือไม่)

    5. การขายสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ก. ไปยัง บริษัท ข. เข้าลักษณะเงื่อนไขการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันของบริษัทจำกัด หรือไม่อย่างไร

    6. บริษัท ก. และบริษัท ข. จะต้องแจ้ง ภ.พ.09 ต่อกรมสรรพากรอย่างไร (ยกตัวอย่างเช่น ควรดำเนินการแจ้งว่าเป็นการเลิกกิจการในข้อ 3.1 หรือแจ้งว่าเป็นการควบรวมกิจการบางส่วนในข้อ 3.3 หรือแจ้งว่าเป็นการโอนกิจการบางส่วนในข้อ4.) เกรงว่าจะถูกกรมสรรพากรแจ้งค่าปรับ เนื่องจากไม่แจ้ง ภ.พ.09
วิสัชนา
1. ตามมาตรา 85/13 และมาตรา 85/15 แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับการแจ้งโอนกิจการทั้งหมด และแจ้งเลิกประกอบกิจการภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้
    “มาตรา 85/13 ผู้ประกอบการจดทะเบียนใดประสงค์จะโอนกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้น แจ้งการโอนกิจการและการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มถ้ามี หรือแจ้งการโอน และแจ้งการเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 แล้วแต่กรณี ตามแบบที่อธิบดีกำหนด ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ก่อนวันโอนกิจการไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 65))
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 131))
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 236))  
         ในกรณีที่ผู้รับโอนกิจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้ผู้รับโอนแจ้งการรับโอนกิจการและการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มถ้ามี ณ สถานที่ที่ผู้รับโอนได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันรับโอนกิจการ และในกรณีที่ผู้รับโอนไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้ผู้รับโอนยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันรับโอนกิจการ และเมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ผู้รับโอนประกอบกิจการดังกล่าวต่อเนื่องไปพลางก่อนได้
         ให้นำมาตรา 85/15 วรรคสองมาใช้บังคับในกรณีที่เป็นการโอนกิจการทั้งหมด 
     มาตรา 85/15 ผู้ประกอบการจดทะเบียนใดเลิกประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นแจ้งการเลิกกิจการตามแบบที่อธิบดีกำหนด ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ ภายในสิบห้าวันนับจากวันเลิกประกอบกิจการ
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 65))
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 131))
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 236))
         ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เลิกกิจการคืนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้พร้อมกับการแจ้งเลิกประกอบกิจการ”   
(ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 66/2539)

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า 
กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัท ก อาจใช้วิธีการโอนกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดให้แก่บริษัท ข เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าที่โอนให้แก่บริษัท ข ตามนัยมาตรา 77/1 (8)(ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร 
    1. ในทางกฎหมายตามที่ได้สอบถามกับทนายประจำบริษัทฯ พบว่า บริษัทฯ สามารถไปแจ้งเลิกบริษัทฯ ทันที กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2566 ซึ่งถ้าหากบริษัทฯ ดำเนินการเช่นว่านั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการขอคืนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตาม ภงด.50 ของปี 2565 แต่อย่างใด ตราบเท่าที่บริษัท ก ยังไม่จดการเสร็จการชำระบัญชีต่อเจ้าพนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 
    2. ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท ก. และ บริษัท ข. ถือเป็น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตามนิยามในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร  
    3. หากบริษัทฯ ใช้กรรมวิธีการ “โอนกิจการทั้งหมด” ให้แก่บริษัท ข ก็ไม่ต้องคำนึงถึงราคาตลาดของทรัพย์สิน และสินค้าที่โอนไปยังบริษัท ข 
    4. หากบริษัทฯ ดำเนินการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่บริษัท ข บริษัทฯ ก็ไม่ต้องออกใบกำกับภาษีให้แก่บริษัท ข 
    5. การขายสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ก. ไปยัง บริษัท ข. หากเข้าลักษณะ เงื่อนไขการโอนกิจการทั้งหมดของบริษัทจำกัด ก็ย่อมกระทำได้ 
    6. บริษัท ก. และบริษัท ข. จะต้องแจ้ง ภ.พ.09 ต่อกรมสรรพากร ตามมาตรา 85/13 แหงประมวลรัษฎากร ก็จะได้รับประโยชน์ทางภาษีอากรสูงสุด



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ "

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ