Case study

เงินได้ที่จ่ายครั้งเดียวเมื่อออกจากงานแบบสมัครใจ


เรื่อง เงินได้ที่จ่ายครั้งเดียวเมื่อออกจากงานแบบสมัครใจ
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 09/05/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อกฎหมาย
คำถาม

พนักงานลาออกด้วยตนเอง (โดยไม่ได้ถูกบังคับ) โดยพนักงานทำงานกับบริษัทมานานกว่า 25 ปี แต่ยังไม่ถึงอายุเกษียณตามหลักเกณฑ์ของบริษัท

บริษัทมีความประสงค์จะจ่ายเงินให้พนักงานจำนวนหนึ่งก้อนในวันออกจากงาน ซึ่งเงินก้อนนี้ไม่ได้เข้าหลักเกณฑ์การจ่ายตามกฎหมายแรงงานหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพใด ๆ

จึงขอสอบถามว่า:

  1. บริษัทสามารถลงรายการจ่ายเงินดังกล่าวเป็น ค่าใช้จ่ายทางภาษี ได้หรือไม่?
  2. บริษัทสามารถ หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณตาม มาตรา 48(5) ได้หรือไม่?
คำตอบ

ตอบ


  1. ถ้าเป็นการจ่ายเงิน ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ไม่ใช่การให้โดยสเน่หา  สามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(3) และ (13)


มาตรา 65 ตรีรายการต่อไปนี้ ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ

“(3) รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว การให้โดยเสน่หา หรือการกุศล เว้นแต่

(13) รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ


2.    เนื่องจากเป็นการลาออกเอง และบริษัทมอบเงินให้พนักงาน 1 ก้อน (เปรียบเสมือนโบนัส)  โดยเงินก้อนนี้ไม่ได้เข้าตาม ข้อ 1 (ก)(ข)(ค)(ง)  จึงไม่ใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานให้ ตามความหมายของ  ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)บริษัทจึงไม่สามารถคำนวณหัก ณ ที่จ่ายตาม 48(5) ได้ 

อย่างไรก็ตาม ถ้าปรับคำถาม เป็นเงินนี้ที่บริษัทจะให้กับทุกคนที่ลาออก(โดยไม่ได้เลือกปฏิบัติ)   ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด เช่น การเออรี่ก่อนถึงเวลา เกษียณอายุ โดยมีหลักเกณฑ์วิธีการคำนวณ เข้า ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)  ข้อ  1(ง)  เงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการตาม (ก)บริษัท สามารถคำนวณหัก ณ ที่จ่ายตาม 48(5) ได้ 



ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)

เรื่อง    กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ตามมาตรา 48 (5) และมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

---------------------------------------------

       อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 48(5) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2534 อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดลักษณะของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน และจ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

ข้อ 1เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานให้หมายถึงเงินได้ดังนี้

    (ก) เงินได้ที่คำนวณตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเช่นเดียวกับวิธีการคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

 “(ข) เงินที่จ่ายจากกองทุนดังนี้

                1) เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 2) เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

                3) เงินที่จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนที่ได้จากการโอนหรือเกี่ยวเนื่องจากการโอนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ”

(แก้ไขโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 287) ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2559 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

  (ค) เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

  (ง) เงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการตาม (ก)


ข้อ 2เงินได้พึงประเมินตามข้อ 1 ที่ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่นตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากรได้ จะต้องมีเงื่อนไขดังนี้

      (ก) เป็นเงินได้ที่จ่ายให้เนื่องจากออกจากงานที่มีระยะเวลาทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี

 “การนับระยะเวลาการทำงานตามวรรคหนึ่ง กรณีผู้มีเงินได้ได้เคยออกจากงานมาแล้ว ซึ่งมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างคนหนึ่งและเข้าทำงานกับนายจ้างอีกคนหนึ่งไม่เกินหนึ่งปี โดยได้โอนเงินและผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างเดิมไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่ หรือเข้าทำงานกับนายจ้างเดิมซึ่งมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานและเข้าทำงานใหม่ไม่เกินหนึ่งปี และเมื่อออกจากงานนั้น ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นับระยะเวลาการทำงานในระหว่างที่ทำงานกับนายจ้างแต่ละคนเป็นระยะเวลาทำงานตามวรรคหนึ่งด้วย


การนับระยะเวลาการทำงานตามวรรคสอง กรณีผู้มีเงินได้เคยใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้ที่ได้รับเมื่อออกจากงานจากนายจ้างคนใดแล้ว หรือผู้มีเงินได้เมื่อออกจากงานจากนายจ้างคนใดแล้วมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างนั้นและเข้าทำงานใหม่เกินหนึ่งปี ให้นับระยะเวลาการทำงานเฉพาะที่ได้ทำกับนายจ้างหลังจากนั้น”

      (ข) ในกรณีที่มีการจ่ายเงินได้ตามข้อ 1 ไม่ว่าจะจ่ายหรือแบ่งจ่ายจากเงินประเภทเดียวกันหรือหลายประเภท ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะเงินได้ที่ได้จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้ดังกล่าวเท่านั้น”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 303) ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2560 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป )


ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่มีการจ่ายเงินได้ตามข้อ 1 ให้แก่ข้าราชการซึ่งได้ลาออกจากราชการตามโครงการที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการให้เงินช่วยเหลือแก่ข้าราชการซึ่งลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 83) ใช้บังคับตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นไป)

     (ค) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในกรณีนี้ได้เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีตามมาตรา 48 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน




มาตรา 48  เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้

   (5) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากับ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานแต่ไม่เกินเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้น แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ 

        ในกรณีเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จจำนวนหนึ่งและเงินบำนาญอีกจำนวนหนึ่ง ให้ถือว่าเฉพาะเงินที่จ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จเป็นเงินซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน และให้ลดค่าใช้จ่ายจำนวน 7,000 บาท ลงเหลือ 3,500 บาท
จำนวนปีที่ทำงานตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ทางราชการจ่าย ให้ถือจำนวนปีที่ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นในลักษณะเดียวกันนั้นตามกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับของทางราชการ
          ในการคำนวณจำนวนปีที่ทำงาน นอกจากกรณีตามวรรคสาม เศษของปี ถ้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ถือเป็นหนึ่งปี ถ้าไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ปัดทิ้ง  

( ดูประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) )     

         ถ้าภาษีเงินได้ที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินแล้วมีจำนวนต่ำกว่า 5 บาท เป็นอันไม่ต้องเรียกเก็บ  


ศึกษาตัวอย่างเคสอื่นๆ เพิ่มเติม  Tax Case Study EP.8 การคำนวณภาษีเงินชดเชยออกจากงาน เงินชดเชยเกษียณอายุ เงินเลิกจ้าง กับ อาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์  คลิ๊ก



หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ