Case study

ค่าไฟชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทได้หรือไม่


เรื่อง ค่าไฟชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทได้หรือไม่
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 25/02/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อกฎหมาย
คำถาม

บริษัทฯ ได้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าระบบ EV จำนวน 1 คัน เพื่อเป็นรถประจำตำแหน่งของกรรมการ ดังนั้นตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะติดตั้งที่บ้านของกรรมการเพื่อสะดวกในการใช้งาน ซึ่งค่าไฟฟ้าที่เกี่ยวกับการชาร์จรถยนต์ กรรมการจะทำเรื่องเบิกค่าไฟฟ้ามาเบิกกับทางบริษัท ดังนั้นค่าไฟฟ้าในการชาร์จรถประจำตำแหน่งของกรรมการสามารถถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้หรือไม่ รบกวนแนะแนวทางปฎิบัติด้วยค่ะ

คำตอบ

ตอบ


เบื้องต้นจะต้องพิจารณาก่อนว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ประจำตำแหน่ง จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง ไม่ได้ใช้เป็นการส่วนตัว และหากสามารถพิสูจน์ได้ ถือเป็นค่าใช้จ่ายได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) (13) 

และไม่ถือเป็นผลประโยชน์เพิ่มของกรรมการ เงินได้พึงประเมินมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร 



1. หากกรรมการสามารถพิสูจน์ได้ว่า ค่าไฟฟ้าที่นำมาเบิกนั้นเป็นค่าไฟฟ้าสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าประจำตำแหน่งจริงและไม่ได้นำค่าไฟฟ้าที่บ้านมาเบิกด้วย เช่น ขอติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ แยกต่างหากจากมิเตอร์ไฟบ้าน เพื่อแยกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้า หากสามารถพิสูจน์ได้ ถือเป็นค่าใช้จ่ายได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) (13)  และค่าไฟฟ้าดังกล่าวที่นำมาเบิกกับบริษัทไม่ถือเป็นผลประโยชน์เพิ่มของกรรมการ 


2. แต่หากพิสูจน์ไม่ได้ ว่าค่าไฟฟ้าที่นำมาเบิกนั้น เป็นเฉพาะค่าไฟฟ้าสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารถประจำตำแหน่งจริง และเกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง ก็จะมีความเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่สรรพากร จะถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร 


มาตรา 65 ตรีรายการต่อไปนี้ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ

    (3) รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว การให้โดยเสน่หา

    (13) รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ






อ้างอิงคำตอบ


เรื่อง

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเงินได้จากการได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีภาษีซื้อค่าเช่ารถยนต์

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

04/01/2001

เลขที่หนังสือ

กค 0811(กม.04)/02

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ข้อกฎหมาย

มาตรา 40(1), มาตรา 82/5(6)

ข้อหารือ

   1. บริษัทฯ เช่ารถยนต์มาเพื่อให้พนักงานบริษัทฯ ใช้เป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งขณะเดียวกันก็ใช้เพื่อกิจการของบริษัทฯ ด้วย ประโยชน์จากการได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งนี้ จะถือเป็นเงินได้ที่พนักงานผู้ใช้รถยนต์ดังกล่าวจะต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่

      2. ภาษีซื้อของค่าเช่ารถยนต์ไม่สามารถเครดิตกับภาษีขายได้แต่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ และไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามใช่หรือไม่

แนววินิจฉัย

     1. กรณีพนักงานได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่ง หากเป็นการใช้ในการปฏิบัติงานเฉพาะเพื่อกิจการของบริษัทฯ โดยพนักงานมิได้รับประโยชน์เป็นการส่วนตัวจากการได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งการได้ใช้รถยนต์ดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงานอันจะถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร พนักงานจึงไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด
 

      2. ภาษีซื้อที่เกิดจากการเช่ารถยนต์ กรณีรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คนตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ไม่สามารถนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา82/3 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ ลงวันที่29 ธันวาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 71)ฯ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 แต่ภาษีซื้อดังกล่าวไม่ต้องห้ามนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีซื้อที่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ 243) พ.ศ. 2534

เลขตู้

64/30248




เรื่อง

สวัสดิการให้รถประจำตำแหน่ง

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 11/10/2015 - วันที่ตอบ 04/12/2015

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

ตามคำถาม – คำตอบ

คุณ Tonchan Uton (9 ตุลาคม 2558 เวลา 11:23 น.)

บริษัทฯ มีสวัสดิการให้รถประจำตำแหน่งสำหรับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป โดยผู้จัดการบางท่านมีรถยนต์ส่วนตัว ขอรับเป็นเงิน บริษัทฯ จะโอนเข้าบัญชีเงินเดือน เพื่อถือเป็นประโยชน์เพิ่มพนักงานเสียภาษี ภ.ง.ด.1 แต่ผู้จัดการหลายท่าน บริษัทฯ ได้เช่ารถมาเพื่อเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งแต่ละท่าน และให้ค่าน้ำมันรถฟรีตามระดับตำแหน่ง

ขอเรียนถาม

1. ค่าเช่ารถและค่าน้ำมันรถบริษัทฯ สามารถนำมาบันทึกเป็นรายจ่ายบริษัทฯ ได้หรือไม่

2. ผู้จัดการที่ได้รถยนต์ประจำตำแหน่ง ต้องถือเป็นผลประโยชน์เพิ่มพนักงานหรือไม่(รถยนต์มีหลายระดับราคาค่าเช่า ตั้งแต่ 14,000 บาท ถึง 60,000 บาทต่อเดือน)


สุเทพ พงษ์พิทักษ์

1. ค่าเช่ารถและค่าน้ำมันรถบริษัทฯ สามารถนำมาบันทึกเป็นรายจ่ายบริษัทฯได้ตามปกติ เพราะพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร

2. สำหรับรถยนต์ประจำตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป ที่บริษัทฯ ได้เช่ามาดังกล่าว รวมทั้งค่าน้ำมันรถยนต์ ตามหลักฐานใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ไม่ต้องนำไปถือเป็นผลประโยชน์เพิ่มพนักงานแต่อย่างใด


อาจารย์คะคำตอบข้อ 2 บริษัทฯ ควรเตรียมข้อโต้แย้งไว้อย่างไรบ้างคะ

วิสัชนา

ตามคำตอบข้อ 2 กรณีเจ้าพนักงานสรรพากร จะไม่ยอมให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ หรือยอมให้ถือเป็นรายจ่ายได้ แต่จะให้นำไปถือเป็นประโยชน์เพิ่มของกรรมการนั้น ให้อ้างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. 2523 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2538 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2541 ว่า ในทางราชการก็กำหนดให้มีรถประจำตำแหน่ง แต่ไม่เห็นมีท่านผู้มีตำแหน่งท่านใด ได้นำไปถือเป็นเงินได้พึงประเมินเลยสักคน โดยเฉพาะเจ้านายระดับสูง

นอกจากนี้ ให้ศึกษาจากคำตอบข้อหารือต่อไปนี้



 

เลขที่หนังสือ : กค 0702/5238 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2555  

เรื่อง : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) (13) แห่งประมวลรัษฎากร  

ข้อกฎหมาย : มาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร  

ข้อหารือ :

    บริษัทฯ จ้างกรรมการผู้จัดการชาวมาเลเซีย ซึ่งสัญญาจ้างแรงงานมีข้อตกลงจ้างเบื้องต้น 3 ปี นอกจากเงินเดือน เดือนละ 234,750 บาท ผู้รับจ้างยังได้รับประโยชน์หรือผลตอบแทนอื่น ได้แก่ รถประจำตำแหน่งและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องพร้อมคนขับรถ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้าศึกษาโรงเรียนของบุตร โดยบริษัทฯ จะชดเชย ค่าภาษีเงินได้ในส่วนนี้ ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับระหว่างกรุงเทพฯ - มาเลเซีย ชั้นประหยัดจำนวน 5 ที่นั่ง ต่อไตรมาส ค่าประกันสุขภาพของกรรมการผู้จัดการและครอบครัว และเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ร้อยละ 11.5 ของเงินเดือน และบริษัทฯ ขอหารือว่า ประโยชน์หรือผลตอบแทนอื่น รวมทั้งค่าภาษีออกแทนเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่  


แนววินิจฉัย :

    ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเงินเดือนหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับตามข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อผู้รับมีหน้าที่หรือความผูกพันในทางธุรกิจกับบริษัทฯ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ จึงถือว่าบริษัทฯ จ่ายไปเพื่อประโยชน์ในการหารายได้หรือใช้ในการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ โดยตรง และมีสิทธินำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร  



 

เลขตู้ : 75/38175



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์



เรื่อง

จ่ายค่าเดินทาง ค่ารถและค่าน้ำมัน ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ให้พนักงานที่เดินทางไปปฏิบัติงาน

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 19/02/2024 - วันที่ตอบ 16/03/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

มาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538ฯ

ปุจฉา

ขอรบกวนสอบถามดังนี้ค่ะ

1. กรณีบริษัทฯ ได้เช่ารถยนต์เพื่อใช้การปฏิบัติงานในกิจการบริษัทฯ และเป็นรถยนต์ประจำหน่วยงาน ซึ่งมีระเบียบการใช้รถยนต์ประจำหน่วยงานดังกล่าว (การปฏิบัติงานรวมถึงการขับขี่จากที่พักมาสำนักงานสำหรับผู้จัดการหน่วยงานขึ้นไป และผู้บริหารระดับกรรมการผู้จัดการ) ทั้งนี้ บริษัทฯ จะจัดน้ำมันให้ใช้ในการปฏิบัติงานสำหรับรถยนต์ประจำหน่วยงานนี้ (กรรมการผู้จัดการเบิกได้ตามจริง, ผู้จัดการหน่วยงาน เบิกได้ไม่เกิน 300 ลิตรต่อเดือน หรือโดยเฉลี่ยไม่เกิน 3,600 ลิตรต่อปี เป็นต้น) โดยใช้บัตร fleet card ของบริษัทฯ (ระบุทะเบียนรถยนต์)

    จากข้อ 1. บริษัทฯ ได้นำค่าเช่ารถยนต์และค่าน้ำมัน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หักเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามจำนวนที่จ่ายจริง (ค่าเช่าไม่เกินคันละ 36,000 บาทต่อเดือน) และไม่ถือเป็นเงินได้ของพนักงานบริษัทฯ ปฏิบัติได้ถูกต้องแล้วใช่ไหมคะ


2. จากข้อ 1. หากต่อมาบริษัทฯ ได้ยกเลิกรถยนต์ประจำหน่วยงานสำหรับผู้จัดการ และให้ผู้จัดการใช้รถยนต์ส่วนตัวของตนเอง โดยบริษัทฯ จะปฏิบัติดังนี้

    2.1 บริษัทฯ จะจ่ายเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือค่าสึกหรอ/ค่าบำรุงรักษารถให้แก่พนักงานเป็นรายเดือน (เป็นจำนวนเงินคงที่ เท่ากันทุกเดือน และเท่ากันทุกคนสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการ) และสำหรับเงินช่วยเหลือค่าน้ำมัน บริษัทฯ จะจ่ายให้พนักงานตามจริงโดยคำนวณจากระยะทาง (วัดโดย google map) จากที่พักของผู้จัดการแต่ละท่านมาที่สำนักงาน คูณด้วยอัตราเฉลี่ยค่าน้ำมันของแต่ละเดือน

         จากข้อ 2.1 บริษัทฯ สามารถนำเงินที่จ่ายให้พนักงานทั้งค่ารถและค่าน้ำมัน มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และถือเป็นเงินได้ของพนักงานเฉพาะในส่วนของค่ารถเข้าใจถูกต้องไหมคะ

    2.2 บริษัทฯ จะจ่ายเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือทั้งค่าสึกหรอ/ค่าบำรุงรักษารถและค่าน้ำมัน เดือน (เป็นจำนวนเงินคงที่ เท่ากันทุกเดือน และเท่ากันทุกคนสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการ ไม่ว่าจะบ้านใกล้หรือไกลต่างกัน)

         จากข้อ 2.2 บริษัทฯ สามารถนำเงินที่จ่ายให้พนักงานทั้งหมด มาหักเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และถือเป็นเงินได้ของพนักงานทั้งหมดเข้าใจถูกต้องไหมคะ

    จากข้อ 2. มีข้อกฎหมายที่ต้องคำนึงถึงเพิ่มเติม หรือควรปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้บริษัทฯ สามารถนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลคะ


3.นอกเหนือจากข้อ 1. และข้อ 2. กรณีรถยนต์ประจำหน่วยงานหรือรถส่วนกลางไม่ว่างและพนักงานจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางไปปฏิบัติงานหรือไปพบลูกค้า บริษัทฯ จะจ่ายเงินชดเชยค่าพาหนะเดินทางกิโลเมตรละ 6 บาทสำหรับการเดินทางภายในกรุงเทพและปริมณฑล สำหรับจังหวัดอื่นกิโลเมตรละ 4 บาท (วัดระยะทาง โดยใช้ google map)

    จากข้อ 3. บริษัทฯ ได้นำค่าชดเชยยานพาหนะที่จ่ายให้พนักงานหักเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามจำนวนที่จ่ายให้พนักงาน และไม่ถือเป็นเงินได้ของพนักงาน ซึ่งไม่แน่ใจว่า ที่ถูกต้องแล้ว บริษัทฯ จะต้องนำเงินชดเชยค่าพาหนะในส่วนที่เกิน 4 บาท (เกินอัตราค่าสูงสุดที่ทางราชการกำหนด) มาถือเป็นเงินได้พนักงานไหมคะ ทั้ง ๆ ที่บริษัทฯ เห็นว่าการเดินทางภายในกรุงเทพและปริมณฑล ค่อนข้างหนาแน่นและการจราจรติดขัด จึงเป็นเหตุที่ให้เงินชดเชยสูงกว่าจังหวัดอื่น

วิสัชนา

1.กรณีตามข้อ 1 บริษัทฯ ปฏิบัติถูกต้องดีงามแล้ว


2. ตามสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2538 อธิบดีกรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางในกรณีที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่นอกสำนักงานหรือนอกสถานที่เป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้

    “ข้อ 1 ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ลูกจ้างหรือผู้มีหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้รับเนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเข้าลักษณะดังนี้

         (1) ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น

         (2) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนดจ่ายให้แก่ข้าราชการ ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วย ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น โดยไม่ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินมาพิสูจน์

         (3) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม (2) และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เพียงเฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม (2)

     ข้อ 2 การเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามข้อ 1 ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสำนักงานหรือนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้ โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณีด้วย” 

     กรณีตามข้อ 2.1 บริษัทฯ สามารถนำเงินที่จ่ายให้พนักงานทั้งค่ารถและค่าน้ำมัน มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และส่วนที่จะได้รับยกเว้นไม่ถือเป็นเงินได้ของพนักงานต้องเป็นไปตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538ฯ ดังกล่าวข้างต้น

     กรณีตามข้อ 2.2 บริษัทฯ สามารถนำเงินที่จ่ายให้พนักงานทั้งหมด มาหักเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และถือเป็นเงินได้ของพนักงานทั้งหมด เข้าใจถูกต้องดีงามแล้ว



 

3. กรณีตามข้อ 3. บริษัทฯ ได้นำค่าชดเชยยานพาหนะที่จ่ายให้พนักงานหักเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามจำนวนที่จ่ายให้พนักงาน และส่วนที่จะได้รับยกเว้นไม่ถือเป็นเงินได้ของพนักงานต้องเป็นไปตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538ฯ ดังกล่าวข้างต้น เท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์

หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ