Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

การหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรของบุคคลธรรมดา ควรใช้เเกณฑ์เงินสด หรือ เกณฑ์สิทธิ์


เรื่อง การหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรของบุคคลธรรมดา ควรใช้เเกณฑ์เงินสด หรือ เกณฑ์สิทธิ์
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 29/04/2025 - วันที่ตอบ 18/05/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อกฎหมาย มาตรา 65 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา
โพสต์ คำถาม – คำตอบ (FAQ) RD Knowledge เลขที่: 410030 ดังนี้
เรื่อง : การหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรใช้เกณฑ์สิทธิ์ไม่ได้
คำถาม : การหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรจะใช้เกณฑ์สิทธิได้หรือไม่ ตามมาตราใด
คำตอบ : 
    เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ต้องถือเกณฑ์เงินสด กล่าวคือ หากได้รับเงินได้พึงประเมินในปีภาษีใดก็ให้เป็นเงินได้พึงประเมินในปีภาษีนั้น การหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรก็ต้องถือตามปีภาษีที่ได้ใช้จ่ายไปจริงเช่นกัน ดังนั้น จึงไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์สิทธิ์ได้ เว้นแต่ กรณีที่เป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ที่ให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาใช้บังคับโดยอนุโลม เช่น ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน ก็ให้ใช้เกณฑ์สิทธิ์ได้
วิสัชนา
การรับรู้เงินได้พึงประเมินเพื่อการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นไปตามมาตรา 39 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ 
    “มาตรา 39  ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
         "เงินได้พึงประเมิน" หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย”  
จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจจำแนก “เงินได้พึงประเมิน” ได้ดังนี้ 
1. เงินได้พึงประเมิน หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีเงินได้
    “เงินได้พึงประเมิน” หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีเงินได้ตามหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้พึงประเมินตามนัยมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2494 ใช้บังคับปีภาษี 2494 เป็นต้นไป ดังนี้ 
    “มาตรา 41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ 
         ผู้อยู่ในประเทศไทยมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย 
         ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะรวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีปีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  
    ดังนั้น เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีเงินได้ ได้แก่ เงินได้อันเกิดขึ้นจากบ่อเกิดเงินได้ตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ 
    1.1 เงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำ 
    1.2 เงินได้เนื่องจากทรัพย์สิน และ
    1.3 เงินได้เนื่องจากกิจการที่ทำ 

2. จากบ่อเกิดเงินได้ทั้งสามประการดังกล่าว อาจสังเคราะห์เป็นเงินได้พึงประเมิน 8 ประเภทตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ดังนี้ 
    2.1 เงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำ ประกอบด้วย 
         เงินได้ประเภทที่ 1 เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร 
         เงินได้ประเภทที่ 2 เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือเงินได้จากการรับทำงานให้ ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร 
    2.2 เงินได้เนื่องจากทรัพย์สิน ประกอบด้วย 
         เงินได้ประเภทที่ 3 เงินได้จากทรัพย์สินทางปัญญา ตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปีหรือเงินได้มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล
         เงินได้ประเภทที่ 4 เงินได้ที่เป็นผลได้จากทุน (Capital Gain) ตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้ที่เป็น
(ก) ดอกเบี้ย และเงินได้ในลักษณะทำนองเดียวกับดอกเบี้ย รวมทั้งผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่ได้จากการให้กู้ยืมหรือจากสิทธิเรียกร้องในหนี้ทุกชนิด
(ข) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
(ค) เงินโบนัสที่จ่ายแก่ผู้ถือหุ้น หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
(ง) เงินลดทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉพาะส่วนที่จ่ายไม่เกินกว่ากำไรและเงินที่กันไว้รวมกัน
(จ) เงินเพิ่มทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งจากกำไรที่ได้มาหรือเงินที่กันไว้รวมกัน
(ฉ) ผลประโยชน์ที่ได้จากการที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบเข้ากัน หรือรับช่วงกัน หรือเลิกกัน ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
(ช) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหลักทรัพย์ รวมทั้งเงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นกองทุนรวม ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
(ซ) เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล
(ฌ) ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
    2.3 เงินได้เนื่องจากกิจการที่ทำ ประกอบด้วย 
         เงินได้ประเภทที่ 5 เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจากกรณีดังต่อไปนี้ ตามตามมาตรา 40 (5) แห่งประมวลรัษฎากร      
         (ก) การให้เช่าทรัพย์สิน 
         (ข) การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน
         (ค) การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อนซึ่งผู้ขายได้รับคืนทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้นโดยไม่ต้องคืนเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับไว้แล้ว 
         เงินได้ประเภทที่ 6 เงินหรือจากวิชาชีพอิสระ ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่เงินได้จากวิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม
         เงินได้ประเภทที่ 7 เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ ตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร 
         เงินได้ประเภทที่ 8 เงินเงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) แล้ว ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร 

3. แหล่งเงินได้และหลักการเสียภาษีเงินได้ตามหลักแหล่งเงินได้ 
    3.1 แหล่งเงินได้ในประเทศไทย ประกอบด้วย 
          (1) เงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย ไม่ว่าจะทำงานให้แก่นายจ้าง หรือผู้ว่าจ้างหรือตัวการที่อยู่ในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ
          (2) เงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะเพื่อกิจการของนายจ้าง หรือผู้ว่าจ้าง หรือตัวการในประเทศไทยเท่านั้น 
          (3) เงินได้เนื่องจากทรัพย์สินในประเทศไทย 
          (4) เงินได้เนื่องจกากิจการที่ทำในประเทศไทย 
          ให้ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในประเทศไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ และไม่ว่าผู้มีเงินได้จะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ก็ตาม 
    3.2 แหล่งเงินได้ในต่างประเทศ ให้ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรก็ต่อเมื่อครบองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 
         (1) เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึง 180 วันในปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ และ 
         (2) เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ เนื่องจาก
              (ก) เงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะเพื่อกิจการของนายจ้าง หรือผู้ว่าจ้าง หรือตัวการในต่างประเทศไทยเท่านั้น หรือ
              (ข) เงินได้เนื่องจากทรัพย์สินในต่างประเทศ หรือ 
              (ค) เงินได้เนื่องจกากิจการที่ทำในต่างประเทศ และ 
         (3) ผู้มีเงินได้ได้นำเงินได้พึงประเมินตาม (1) และ (2) ที่เกิดขึ้นนั้นแต่ปีภาษี พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป เข้ามาในประเทศไทย ไม่ว่าจะได้นำเข้ามาในปีภาษีเดียวกับปีทีเกิดเงินได้หรือไม่ก็ตาม (ดูคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 161/2566) 

4. เกณฑ์รับรู้เงินได้พึงประเมิน 
    4.1 สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในขณะที่มีกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเงินได้ตามบ่อเกิดเงินได้ในข้อ 2 และ/หรือที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เกิดกิจกรรมดังกล่าว โดยให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของปีภาษีที่ได้รับเงินได้นั้น ตามเกณฑ์เงินสด (Cash Basis) ตามนิยามศัพท์คำว่า “เงินได้พึงประเมิน” เช่น การสินค้าหรือให้บริการเป็นเงินสด ให้รับรู้เงินได้พึงประเมินทันทีที่ได้รับชำระราคาค่าสินค้า หรือบริการดังกล่าว แต่สำหรับกรณีขายสินค้าหรือให้บริการเป็นเงินเชื่อ ให้รับรู้เงินได้พึงประเมินเมื่อผู้มีเงินได้ได้รับชำระราคาค่าสินค้าหรือค่าบริการดังกล่าว 
    4.2 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้รับเงินได้ก่อนที่บ่อเกิดของเงินได้พึงประเมินจะเกิดขึ้น เช่น รายได้รับล่วงหน้าจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ หรือรับเงินมัดจำค่าสินค้าหรือบริการ เป็นต้น เนื่องจาก “บ่อเกิดของเงินได้” ยังไม่เกิดขึ้น เงินที่ได้รับ จึงยังไม่อาจนับเป็นเงินได้พึงประเมินได้ เพราะยังไม่เข้าลักษณะเป็น “เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีเงินได้” เงินค่าสินค้าหรือค่าบริการที่ได้รับมีสถานะเป็นเพียง “เจ้าหนี้ทางการค้า” ขืนนำมารับรู้เป็นเงินได้ย่อมก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรดา กรณีจึงต้องรอให้เกิดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเงินได้ขึ้นเสียก่อน ผู้มีเงินได้จึงค่อยรับรู้เงินได้พึงประเมินดังกล่าว  
         ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้เงินได้พึงประเมินในประเด็นตามข้อ 4.2 นี้ ยังคลาดเคลื่อนอยู่มาก เพราะติดยึดกับคำว่า “เกณฑ์เงินสด” หรือ “เมื่อได้รับเงิน” ย่อมถือเป็นเงินได้พึงประเมินทุกกรณ๊ โดยไม่คำนึงถึงความหมายที่แท้จริงของเงินได้พึงประเมินว่า ต้องเป็นเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีเงินได้เสียก่อน จึงค่อยรับรู้เป็นเงินได้พึงประเมิน มิฉะนั้น ไม่ว่าจะได้รับเงินเป็นค่าอะไรก็ต้องถือเป็นเงินได้ทั้งหมด เช่น รับเงินกู้ยืม รับเงินแทน รับเงินมัดจำ รับเงินประกันผลงาน เป็นต้น 

5. เกณฑ์รับรู้ค่าใช้จ่าย 
    5.1 ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กำหนดให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือ
        (1) ค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ซึ่งกำหนดเป็นอัตราร้อยละของเงินได้พึงประเมิน 
        (2) ค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร หรือค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งผู้มีเงินได้ต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินและพิสูจน์ได้ว่า มีค่าใช้จ่ายมากกว่าค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ทั้งนี้ ให้นำมาตรา 65 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้าตามหลักฐานที่นำมาพิสูจน์นั้นปรากฏว่ามีรายจ่ายที่หักได้ตามกฎหมายน้อยกว่าอัตราค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ข้างต้น ก็ให้ถือว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงเท่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ 
    5.2 เงินได้พึงประเมินประเภทที่หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้แต่อย่างอย่างเดียว ได้แก่ 
        (1) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 50% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ตามมาตรา 42 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
        (2) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (ข) และ (ค) แห่งประมวลรัษฎากร โดยกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 20% ของเงินได้ ตามมาตรา 5 (2) และ (3) พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502  
    5.2 เงินได้พึงประเมินประเภทที่มีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา หรือจะเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร ในแต่ละปีภาษี ได้แก่ 
        (1) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น โดยกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 50% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ตามมาตรา 42 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 4 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502  
        (2) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน โดยกำหนดยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ตามมาตรา 43 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 5 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ดังต่อไปนี้
              (ก) การให้เช่าบ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือแพ ในกรณีเจ้าของเป็นผู้ให้เช่าให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 30 ในกรณีให้เช่าช่วงให้หักค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเช่าที่เสียให้แก่ผู้ให้เช่าเดิม หรือผู้ให้เช่าช่วงแล้วแต่กรณี 
              (ข) ถ้าเป็นที่ดินที่ใช้ในการเกษตรกรรม ในกรณีเจ้าของเป็นผู้ให้เช่าให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 20 ในกรณีให้เช่าช่วง ให้หักค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเช่าที่เสียให้แก่ผู้ให้เช่าเดิม หรือผู้ให้เช่าช่วง แล้วแต่กรณี 
              (ค) ถ้าเป็นที่ดินที่มิได้ใช้ในการเกษตรกรรมในกรณีเจ้าของเป็นผู้ให้เช่า ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 15 ในกรณีให้เช่าช่วง ให้หักค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเช่าที่เสียให้แก่ผู้ให้เช่าเดิม หรือผู้ให้เช่าช่วง แล้วแต่กรณี 
              (ง) ถ้าเป็นยานพาหนะ ในกรณีเจ้าของเป็นผู้ให้เช่า ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 30 ในกรณีให้เช่าช่วง ให้หักค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเช่าที่เสียให้แก่ผู้ให้เช่าเดิม หรือผู้ให้เช่าช่วง แล้วแต่กรณี 
              (จ) ถ้าเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น ในกรณีเจ้าของเป็นผู้ให้เช่า ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 10 ในกรณีให้เช่าช่วง ให้หักค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเช่าที่เสียให้แก่ผู้ให้เช่าเดิมหรือผู้ให้เช่าช่วง แล้วแต่กรณี 
        (3) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากวิชาชีพอิสระ โดยกำหนดยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา ตามมาตรา 44 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 6  แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ดังต่อไปนี้
              (ก) เงินได้จากวิชาชีพอิสระการประกอบโรคศิลปะให้หักค่าใช้จ่ายในการเหมาร้อยละ 60 
              (ข) เงินได้จากวิชาชีพอิสระนอกจาก (ก) ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 30 
        (4) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จกาการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ โดยกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 60% ของเงินได้ ตามมาตรา 45 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 7  แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502  
        (5) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40 (1) ถึง (7) แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว โดยกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามอัตรา % ของเงินได้ จำนวน 42 รายการ ตามที่กำหนดตามมาตรา 46 ประกอบมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 
    5.3 เงินได้พึงประเมินประเภทที่หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้แต่อย่างอย่างเดียว ได้แก่ เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร นอกเหนือจาก 42 รายการตามข้อ 5.2 (5) ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามที่กำหนดตามมาตรา 46 ประกอบมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 

6. ข้อพิจารณาเกี่ยวกับการหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร
    6.1 หลักการทั่วไป 
         การหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร หรือค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งกำหนดให้ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินและพิสูจน์ได้ว่า มีค่าใช้จ่ายตามหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ หรือมีจำนวนมากกว่าค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา กรณีผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ด้วย ทั้งนี้ ให้นำความตามมาตรา 65 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้าตามหลักฐานที่นำมาพิสูจน์นั้นปรากฏว่ามีรายจ่ายที่หักได้ตามกฎหมายน้อยกว่าอัตราค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ข้างต้น ก็ให้ถือว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงเท่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ 
    6.2 ต่อประเด็นที่กำหนดให้นำความตามมาตรา 65 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรู้รายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล มาใช้บังคับโดยอนุโลม นั้น 
         ประการที่ 1 เกณฑ์รับรู้รายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล นั้น ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 1/2528 ฯ ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2528 นั้น กำหนดให้ใช้ “เกณฑ์สิทธิ” โดยให้นำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้นแม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น 
         ประการที่ 2 รายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้ ประกอบด้วย
         (1) ต้นทุนของสินค้าที่ขายหรือบริการที่ให้ ซึ่งนอกเหนือไปจากหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้ (Matching Principle) แล้ว ยังต้องใช้เกณฑ์สิทธิมาพิจารณาประกอบอีกด้วย กล่าวคือ ในการรับรู้ต้นทุนสินค้าที่ขายหรือบริการที่ให้ นั้น ต้องเป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากการขายสินค้าและหรือรายได้จากการให้บริการ และต้องเป็นไปตาม “เกณฑ์สิทธิ” อีกด้วย 
         (2) รายจ่ายหรือค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ต้องรับรู้ตาม “เกณฑ์สิทธิ” กล่าวคือ ค่าวใช้จ่ายของปีภาษีใด ก็ให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายของปีภาษีนั้น ห้ามมิให้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายข้ามรอบระยะเวลาบัญชีตามนัยมาตรา 65 ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร 
         ประการที่ 3 โดยการนำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับรายจ่ายมาประมวลรวมกัน จนได้ความว่า รายจ่ายที่กิจการจะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากรได้นั้นต้องครบองค์ประกอบทุกข้อดังต่อไปนี้
         (1) ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ ซึ่งได้แก่ รายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นปกติธุระในการดำเนินกิจการทั่วไป อาทิ ต้นทุนสินค้าที่ขายหรือต้นทุนบริการที่ให้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร อันเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นตามประเพณีทางการค้า ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร และ
         (2) ต้องเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ และพิสูจน์ได้ว่า มีเหตุผลอันสมควรที่จะจ่ายรายการรายจ่ายนั้น โดยไม่ใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร และ 
         (3) ต้องเป็นรายจ่ายที่มีหลักฐานการจ่ายที่สามารถพิสูจน์ผู้รับได้ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบสั่งของ ใบแจ้งหนี้ เป็นต้น สำหรับในบางกรณีที่ไม่มีการจ่ายเงิน หรือค่าตอบแทนอย่างอื่น แต่เกิดค่าใช้จ่ายขึ้น เช่น กรณีภัยพิบัติต่างๆ อุบัติเหตุ การฉ้อโกง การลักขโมย ฯลฯ กิจการต้องแสวงหาหลักฐานที่จะสนับสนุนรายการรายจ่ายดังกล่าว เช่น หลักฐานการแจ้งความลงบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภาพถ่าย ข่าวสารหนังสือพิมพ์ เป็นต้น ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (9) หรือ (18) แห่งประมวลรัษฎากร – รายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง หรือรายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ที่กำหนดว่า ทุกเดบิต ต้องมีเครดิตด้วยจำนวนที่เท่ากัน เมื่อเป็นรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหนึ่ง ย่อมถือเป็นรายได้ของบุคคลหนึ่ง ที่ต้องมีหลักฐานการจ่ายที่พิสูจน์ได้ และผู้มีเงินได้พึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามที่กฎหมายกำหนด และ
         (4) ต้องเป็นรายจ่ายสิ้นเปลืองหมดไป (Supplies) ที่ไม่ก่อให้เกิดเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี มิฉะนั้น อาจถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน อาทิ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั่วไป เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่ารับรอง ค่าธรรมเนียม ค่าบริการในการประกอบกิจการตามปกติ ค่าซ่อมแซมให้ทรัพย์สินถาวรคงสภาพเดิม ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินถาวร เป็นต้น ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร – รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน หรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน และ 
         (5) ต้องเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้ ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร – รายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง และสามารถกำหนดจำนวนที่แน่นอนโดยมิใช่การประมาณการขึ้นมา   
         (6) ต้องเป็นรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้ หรือการประกอบกิจการ ในส่วนของต้นทุน และผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใดๆ ต้องเป็นไปตามหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้ (Matching Principle) และ 
         (7) ต้องเป็นรายจ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีปีใด ก็ให้ถือเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ตามความหมายของคำว่า “เกณฑ์สิทธิ” ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่ในกรณีที่ไม่สามารถกำหนดจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีใด ก็ให้ถือเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีที่รายจ่ายนั้นกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้ ตามมาตรา 65 ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร และ 
         (8) ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร เช่น ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร หรือค่าของสินค้าคงเหลือที่ด้อยค่าโดยไม่เป็นไปตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร ทรัพย์สินที่ตีราคาต่ำลง ตามมาตรา 65 ตรี (17) แห่งประมวลรัษฎากร หรือรายจ่ายที่ไม่ใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรในประเทศไทย ตามมาตรา 65 ตรี (14) แห่งประมวลรัษฎากร หรือรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา 65 ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร หรือรายจ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามมาตรา 65 ตรี (20) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นต้น 

โดยความเคารพต่อ คำถาม – คำตอบ (FAQ) RD Knowledge เลขที่: 410030 ดังกล่าว 
    ผมขอไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรนั้น ไม่อาจนำเกณฑ์เงินสดมาปรับใช้ดังเช่นการรับรู้เงินได้พึงประเมินได้เลย หากแต่ต้องใช้ “เกณฑ์สิทธิ” เท่านั้น จึงจะอำนวยให้เกิดความเป็นธรรมในการคำนวณและการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินที่กฎหมายยอมให้คำนวณหักค่าใช่จ่ายตามความจำเป็นและสมควร เนื่องจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์เงินสด จะก่อให้เกิดควาผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวของค่าใช่จ่าย เช่น ซื้อสินค้าเป็นเงินสด แต่ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ โดยรับชำระค่าสินค้าคนละปีภาษีกัน ย่อมไม่สามารถคำนวณเงินได้สุทธิในกรณีนี้ได้เลย หรือกรณีซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ แต่ขายสินค้าเป็นเงินสด ในปีภาษีเดียวกันหรือต่างปีภาษีกัน ก็เช่นเดียวกัน ยังไม่รวมถึงกรณีที่ขายสินค้าบางส่วน ดังนั้น เพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมสูงสุดจึงต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายจริงหรือค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรตามเกณฑ์สิทธิเท่านั้น



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ