Case study

ค่ารับรอง เเละ ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ฯลฯ ให้พนักงานของบริษัทแม่จากต่างประเทศ เพื่อมาทำงานในไทยเป็นการชั่วคราว


เรื่อง ค่ารับรอง เเละ ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ฯลฯ ให้พนักงานของบริษัทแม่จากต่างประเทศ เพื่อมาทำงานในไทยเป็นการชั่วคราว
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 06/03/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย
คำถาม

 บ.A เป็นนิติบุคคลในประเทศไทย  มีบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น    บริษัทเเม่ได้ส่งพนักงานระดับสูง เพื่อเข้ามาประชุมกับลูกค้า (เพื่อรับรองลูกค้า)  เเละ มาคุยแก้ปัญหากับลูกค้าของ บริษัท A (ซึ่งเป็นบริษัทลูก)  ในประเทศไทย 

เมื่อบริษัท .A   จ่ายค่าโรงแรม ค่าอาหาร ฯลฯ  ให้กับพนักงานคนดังกล่าว โดยไม่ได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายกับบริษัทแม่  (พนักงานคนดังกล่าวไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นพนักงานของบ.A แต่เนื่องจากการประชุมหรือการเข้ามาพูดคุยดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ของบ.A) 

คำถาม :  อยากจะทราบว่าค่ารับรองดังกล่าวสามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อคำนวณกำไรสุทธิภาษีเงินได้นิติบุคคลได้หรือไม่คะ แล้วภาษีซื้อสามารถนำไปเครดิตได้หรือไม่คะ

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ

คำตอบ


กรณีที่คนของบริษัทแม่เข้ามาเพื่อช่วยรับรองลูกค้า


1. สำหรับค่าโรงแรม ค่าอาหาร ที่บริษัทฯ ได้จ่ายเพื่อรับรองแก่พนักงานของบริษัทแม่นั้น หากเป็นการรับรองหรือการบริการที่จะอำนวยประโยชน์แก่กิจการ รายจ่ายดังกล่าวสามารถลงเป็นรายจ่ายในการดำเนินงานได้ ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี (4) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 143 (พ.ศ. 2522) โดยให้ลงเป็นรายจ่ายได้ทั้งจำนวนรวมภาษีซื้อด้วย


โดยต้องมีหลักฐานและการอนุมัติ

     (1) ค่ารับรองหรือค่าบริการต้องมีใบรับ (ใบเสร็จรับเงิน) หรือหลักฐานของผู้รับ หรือหลักฐานอื่นในกรณีที่ผู้รับไม่มีหน้าที่ออกใบรับ  เช่น รายงานการเดินทาง ประกอบการบันทึกรายจ่าย

     (2) ค่ารับรองหรือบริการ ต้องมีการอนุมัติหรือสั่งจ่าย โดยกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าว อันเป็นการควบคุมภายใน เพื่อพิสูจน์แสดงว่ามิใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หา ซึ่งถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม



2. สำหรับภาษีซื้อที่เกิดจากค่ารับรอง เป็นภาษีซื้อต้องห้าม ไม่สามารถนำมาเครดิตหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ตามมาตรา 82/5 (4) แห่งประมวลรัษฎากร แต่สามารถนำยอดภาษีซื้อไปลงเป็นรายจ่ายได้ ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้นำภาษีซื้อสำหรับค่ารับรองไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้

มาตรา 65 ตรีรายการต่อไปนี้ ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ

 (4) ค่ารับรองหรือค่าบริการส่วนที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยกฎกระทรวง



 

มาตรา 82/ภาษีซื้อในกรณีดังต่อไปนี้ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3

      (4) ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรองหรือเพื่อการอันมีลักษณะทำนองเดียวกันตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
 
( ดูประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) )



https://www.rd.go.th/2495.html

กฎกระทรวง

ฉบับที่ 143 (พ.ศ. 2522)

ออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยภาษีเงินได้

   ข้อ 1   ค่ารับรองหรือค่าบริการที่จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5

ข้อ 2   ค่ารับรองหรือค่าบริการนั้น ต้องเป็นค่ารับรองหรือค่าบริการอันจำเป็นตามธรรมเนียมประเพณีทางธุรกิจทั่วไป และบุคคลซึ่งได้รับการรับรองหรือรับบริการต้องมิใช่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเว้นแต่ลูกจ้างดังกล่าวจะมีหน้าที่เข้าร่วมในการรับรองหรือการบริการนั้นด้วย

ข้อ 3ค่ารับรองหรือค่าบริการ ต้อง

                      (1) เป็นค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการรับรองหรือการบริการที่จะอำนวยประโยชน์แก่กิจการ เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าดูมหรสพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการกีฬา เป็นต้น หรือ

                      (2) เป็นค่าสิ่งของที่ให้แก่บุคคลซึ่งได้รับการรับรองหรือรับบริการไม่เกินคนละ 2,000 บาท ในแต่ละคราวที่มีการรับรองหรือการบริการ”

ข้อ 4จำนวนเงินค่ารับรองและค่าบริการให้นำมาหักเป็นรายจ่ายได้เท่ากับจำนวนที่ต้องจ่าย แต่รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 0.3 ของจำนวนเงินยอดรายได้หรือยอดขายที่ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายใด ในรอบระยะเวลาบัญชีหรือของจำนวนเงินทุนที่ได้รับชำระแล้วถึงวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า ทั้งนี้รายจ่ายที่จะนำมาหักได้จะต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 222 (พ.ศ. 2542) ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2542 เป็นต้นไป)

ข้อ 5 ค่ารับรองหรือค่าบริการนั้น ต้องมีกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้จัดการ หรือผู้ได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวเป็นผู้อนุมัติหรือสั่งจ่ายค่ารับรอง หรือค่าบริการนั้นด้วย และต้องมีใบรับหรือหลักฐานของผู้รับสำหรับเงินที่จ่ายเป็นค่ารับรองหรือเป็นค่าบริการเว้นแต่ในกรณีที่ผู้รับเงินไม่มีหน้าที่ต้องออกใบรับตามประมวลรัษฎากร


อ้างอิงคำตอบ


เรื่อง

เงื่อนไขเกี่ยวกับค่ารับรองหรือค่าบริการ

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 22/07/2021 - วันที่ตอบ 30/07/2021

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (4) แห่งประมวลรัษฎากร, กฎกระทรวง ฉบับที่ 143 (พ.ศ. 2522)

ปุจฉา

ขอสอบถามเกี่ยวกับกรณีการบันทึกค่ารับรองที่สามารถเป็นรับรู้เป็นค่ารับรองได้ต้องเข้าเกณฑ์อะไรบ้างค่ะ สามารถรับรองคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้าได้ไหม และกรณีมีการซื้อสุราให้ลูกค้าสามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายได้ไหมค่ะ

วิสัชนา

ตามมาตรา 65 ตรี (4) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 143 (พ.ศ. 2522) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับค่ารับรองหรือค่าบริการ ที่สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ดังนี้

1.ต้องเป็นค่ารับรองหรือค่าบริการอันจำเป็นตามธรรมเนียมประเพณีทางธุรกิจทั่วไป


2.บุคคลที่รับการรับรองต้องไม่ใช่ลูกจ้าง เว้นแต่ลูกจ้างจะมีหน้าที่หรือมีส่วนเข้าร่วมในการรับรองหรือบริการนั้นด้วย มีการกำหนดเงื่อนไขตัวบุคคลที่จะได้รับการเลี้ยงรับรองหรือรับบริการว่า ต้องเป็นบุคคลภายนอกที่มิใช่พนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีการรับรองหรือบริการ แต่ก็ยังเปิดช่องไว้ให้พนักงานหรือลูกจ้างที่มีหน้าที่หรือมีส่วนโดยตรงต่อการรับรองหรือบริการก็ให้มีส่วนเข้าร่วมในงานเลี้ยงรับรองหรือบริการนั้นได้


3. ลักษณะของค่ารับรองหรือค่าบริการ

     (1) ค่ารับรองหรือค่าบริการต้องเป็นค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการรับรองหรือการบริการที่จะอำนวยประโยชน์แก่กิจการ เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าดูมหรสพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการกีฬา เป็นต้น

     (2) ในกรณีที่เป็นค่าสิ่งของที่ให้แก่บุคคลซึ่งได้รับการรับรองหรือรับบริการ ต้องมีจำนวนไม่เกิน 2,000 บาท/คน/คราวที่มีการรับรองหรือการบริการ

     (3) กรณีที่ค่ารับรองหรือค่าบริการ ตลอดจนค่าสิ่งของที่ให้แก่ผู้ที่ได้รับการรับรองดังกล่าวมีภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีซื้อ ให้นำค่าภาษีซื้อมารวมเป็นรายจ่ายค่ารับรองหรือค่าบริการด้วย

     

4. หลักฐานและการอนุมัติ

     (1) ค่ารับรองหรือค่าบริการต้องมีใบรับ หรือหลักฐานของผู้รับ หรือหลักฐานอื่นในกรณีที่ไม่มีใบรับ อาทิ รายงานการเดินทาง ประกอบการบันทึกรายจ่าย

     (2) ค่ารับรองหรือบริการ ต้องมีการอนุมัติหรือสั่งจ่าย โดยกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าว อันเป็นการควบคุมภายใน เพื่อพิสูจน์แสดงว่ามิใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หา ซึ่งถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม

    

5.จำนวนเงินค่ารับรองหรือค่าบริการที่จะนำมาถือเป็นรายจ่าย ให้เปรียบเทียบจำนวนค่ารับรองหรือค่าบริการที่ผ่านหลักเกณฑ์ข้างต้น (ค่ารับรอบหรือค่าบริการทางบัญชี) กับจำนวนจำนวนเงินค่ารับรองหรือค่าบริการทางภาษีอากร และให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิทางภาษีอากรได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 0.3 ของยอดรายได้หรือยอดขายที่ต้องนำมาคำนวณกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายใดๆ ในรอบระยะเวลาบัญชีหรือของเงินทุนชำระแล้วเพียง ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่อย่างไรจะมากกว่า ทั้งนี้ รายจ่ายที่จะนำมาหักได้จะต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินสิบล้านบาท


     ยอดรายได้หรือยอดขายที่ต้องนำมาคำนวณกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายใดๆ ในรอบระยะเวลาบัญชี หมายถึง ยอดรายได้หรือยอดขายภายหลังจากที่หักรายการรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเช่น รายได้เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นต้น


ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

     บริษัทฯ สามารถรับรองคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้าได้ หากเป็นการรับรองหรือการบริการที่จะอำนวยประโยชน์แก่กิจการ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับค่ารับรองหรือค่าบริการดังกล่าวข้างต้น

     กรณีบริษัทฯ ซื้อสุราให้ลูกค้า สามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีได้ แต่ในทางภาษีหากจะนำมาถือเป็นค่ารับรองหรือค่าบริการต้องพิจารณาว่ามีเหตุผลในการมอบสุราให้แก่ลูกค้า เป็นค่ารับรองฯ เพียงใด เพราะมีสโลแกนของ สสส. ว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” จึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะมอบสุราให้ในการรับรอง เว้นแต่ในการเลี้งอาหาร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"


เรื่อง

ค่ารับรองและภาษีซื้อที่ไม่นำมาเครดิต

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 14/09/2017 - วันที่ตอบ 14/09/2017

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) , มาตรา 82/5 (1)(2)(3) และ (5) แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

กรณีที่บริษัทฯ ไม่นำภาษีซื้อของค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ค่ารับรอง มาเครดิตภาษี ภาษีซื้อที่ไม่นำมาเครดิต (Unclaimed VAT) ดังกล่าวถือเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้หรือไม่คะ

วิสัชนา

เป็นคำถามที่หน่อมแน้มไปนิดหนึ่ง หากไม่ได้เรียนบัญชีหรือภาษีมาก่อนเลยก็ต้องขอโทษที่พลั้งปากทักไป เพราะหากเป็นนักเลงภาษีแล้วต้องเข้าใจดีว่า ภาษีซื้อสำหรับ “ค่ารับรอง” เป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้นำภาษีซื้อสำหรับค่ารับรองไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ เช่นเดียวกับรายการภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก่ รายการภาษีซื้อต้องห้ามตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ที่ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 243) พ.ศ. 2534 กำหนดยอมให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้

(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) เรื่อง การกำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากรhttp://www.rd.go.th/publish/3398.0.htmlประกอบ)

สำหรับภาษีซื้อต้องห้ามที่ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร จึงได้แก่ ภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (1)(2)(3) และ (5) แห่งประมวลรัษฎากร

นอกจากนี้ ภาษีซื้อที่เครดิตหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ ก็ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร เช่นเดียวกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะคลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"




กรณีที่คนของบริษัทแม่เข้ามาเพื่อช่วยทำงาน(แก้ไขปัญหาของบริษัทลูกในไทย)



ตอบ    การที่คนของบริษัทแม่เข้ามาเพื่อช่วยทำงาน(แก้ไขปัญหาของบริษัทลูกในไทย) เป็นเงินได้ประเภทกำไรธุรกิจ)  

โดยหลักปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจ บริษัทแม่ควรคิดค่าบริการในการเข้ามาแก้ไขปัญหาให้บริษัทในไทย แต่ถ้าบริษัทแม่ไม่คิดค่าบริการ  แต่ให้บริษัทไทยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนของพนักงานของตนเอง (สมมุติชื่อ Mr.J) เช่น ค่าเดินทาง ที่พัก และ อาหารให้กับพนักงาน  ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าบริการแก้ไขปัญหาเมื่อบริษัท A จ่ายเงินค่าเดินทาง ที่พัก และ อาหาร ให้กับ Mr.J จะถือเสมือนว่า ได้จ่ายให้บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น

  1. ถ้า Mr.J เข้ามาในไทยเกิน  6 เดือน  ถือว่าบริษัทญี่ปุ่นมีสถานประกอบการถาวร(ประเภทลูกจ้าง) ในประเทศไทย  (อนุสัญญาภาษีซ้อน  ไทย-ญี่ปุ่น ข้อ 5) บริษัท A จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณจากค่าเดินทาง ที่พัก และ อาหาร ที่บริษัทA  ต้องจ่ายให้พนักงานชาวญี่ปุ่น เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าบริการดังกล่าว บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 5.0 ตาม ท.ป. 4/2528     ข้อ 12  
  2. ถ้า Mr.J เข้ามาในไทยไม่ถึง 6 เดือน  ถือว่าบริษัทญี่ปุ่นไม่มีสถานประกอบการถาวร(ประเภทลูกจ้าง) ในประเทศไทย  (อนุสัญญาภาษีซ้อน  ไทย-ญี่ปุ่น ข้อ 5) เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าบริการดังกล่าว บริษัทฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย  


สำหรับภาษีซื้อที่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการ สามารถนำไปเครดิตได้   แต่บริษัทจะต้องนำส่งภาษีขาย  ตามมาตรา 83/6(1) แห่งประมวลรัษฎากร  ด้วยแบบ ภ.พ.36  เนื่องจาก ถือว่าบริษัทแม่ ได้ส่งคนเข้ามาให้บริการ(แก้ไขปัญหาของบริษัท A) เป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 


อนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น
 เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

รัฐบาลแห่งประเทศไทยและรัฐบาลแห่งประเทศญี่ปุ่น

      ข้อ 5 สถานประกอบการถาวร

วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งถ้าวิสาหกิจนั้นให้บริการรวมถึงบริการให้คำปรึกษาผ่านลูกจ้างหรือพนักงานอื่น โดยมีเงื่อนไขว่ากิจกรรมเช่นว่านั้นดำเนินอยู่ (สำหรับโครงการเดียวกันหรือโครงการที่เกี่ยวเนื่องสองโครงการหรือมากกว่านั้น) เป็นระยะเวลาเดียวกันหรือหลายระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลาสิบสองเดือนใดๆ



มาตรา 76 ทวิบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ประกอบกิจการในประเทศไทย และให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลเป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่ และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว
 ในกรณีที่กล่าวในวรรคแรก ถ้าบุคคลผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี ตามบทบัญญัติในส่วนนี้ได้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา 71(1) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
 ในกรณีการประเมินตามความในมาตรานี้ จะอุทธรณ์การประเมินก็ได้


คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

ข้อ 12ให้บุคคล บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินที่เป็นค่าจ้างทำของให้แก่ผู้รับจ้างซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทย โดยมิได้มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่เป็นการถาวรในประเทศไทยหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 5.0
 (
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.8/2528)


มาตรา 83/6   เมื่อมีการชำระราคาสินค้าหรือ ราคาค่าบริการให้กับผู้ประกอบการดังต่อไปนี้ ให้ผู้จ่ายเงินค่าซื้อสินค้า หรือค่าบริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสียภาษี
 
    (1) ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3



อ้างอิง


เรื่อง

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายเงินไปต่างประเทศ

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

20/06/2008

เลขที่หนังสือ

กค 0702/3440

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

ข้อกฎหมาย

มาตรา 76 ทวิ มาตรา 3 พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) มาตรา 85/3 มาตรา 77/2(1) และ มาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

     1. บริษัทฯ เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย บริษัทฯ ได้ว่าจ้างบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการ ในประเทศไทย (บริษัทต่างประเทศ) เข้ามาดำเนินการซ่อม ปรับจูน บำรุงรักษา ตรวจสอบสมรรถนะ อุปกรณ์ เครื่องจักร ให้ใช้งานได้ตามปกติในประเทศไทย
       2. บริษัทต่างประเทศจะส่งพนักงานเข้ามาดำเนินการดังกล่าว โดยมิได้ให้ข้อสนเทศเกี่ยวกับประสบการณ์ ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งบริษัทต่างประเทศมีสิทธิหวงกัน โดยจะใช้เวลาดำเนินการ ในประเทศรวมกันไม่เกิน 60 วัน ในแต่ละปีภาษี เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จบริษัทต่างประเทศจะส่งใบแจ้งหนี้เพื่อเรียก เก็บเงิน ได้แก่ ค่าบริการซ่อม ค่าปรับจูน ค่าบำรุงรักษา ค่าตรวจสอบสมรรถนะ อุปกรณ์ เครื่องจักร
และค่าโดยสาร เครื่องบิน ค่าเดินทาง ค่าโรงแรมที่พักของพนักงานที่เข้ามาให้บริการ
 
     3. บริษัทฯ ขอหารือว่า ความเข้าใจของบริษัทฯ ถูกต้องหรือไม่ ดังนี้
 3.1 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีดังกล่าวถือได้ว่า ผู้ให้บริการประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมี ลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ดี เงินได้ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ และ ผู้ให้บริการไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย ตามข้อ 5 และข้อ 7 แห่งอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศสิงคโปร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ ประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น ผู้ให้บริการ จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยตามข้อ 7 แห่งอนุสัญญาฯ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินได้ดังกล่าวออกไป จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินนำส่งแต่อย่างใด
         3.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรได้เข้ามาให้บริการในราชอาณาจักร เป็นครั้งคราว โดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ใน บังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าบริการ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ให้กับบริษัทต่างประเทศ มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทต่างประเทศมีหน้าที่ต้องเสีย โดยยื่นแบบนำส่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.36 จากเงินที่จ่ายไป ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึง ประเมินให้แก่บริษัทต่างประเทศ ตามมาตรา 83/6 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

แนววินิจฉัย

     1. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีบริษัทต่างประเทศส่งพนักงานเข้ามาดำเนินการซ่อม ปรับจูน บำรุงรักษา ตรวจสอบสมรรถนะ อุปกรณ์ เครื่องจักร ในประเทศไทย ถือได้ว่า บริษัทต่างประเทศ ประกอบกิจการในประเทศไทย โดยมีลูกจ้างในการประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้ในกรณีนี้ เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ หากพนักงานของบริษัทต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยมีระยะเวลารวมกันไม่ เกินกว่า 183 วัน ยังถือไม่ได้ว่า บริษัทต่างประเทศมีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยจากค่าบริการที่ได้รับ ตามข้อ 5 และข้อ 7 แห่งอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บ ภาษีซ้อนกับประเทศสิงคโปร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศญี่ปุ่น ประกอบกับมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ จ่าย เงินได้ดังกล่าวออกไป จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่อย่างใด
 
      2. ภาษีมูลค่าเพิ่มการให้บริการดังกล่าวเข้าลักษณะกรณีบริษัทต่างประเทศได้เข้ามาให้บริการใน ราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว โดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวล รัษฎากร อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากรบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าบริการค่าเดินทาง ค่าที่พักให้กับบริษัทต่างประเทศมีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทต่างประเทศมีหน้าที่ต้องเสียโดย ยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.36 จากเงินที่จ่ายไป ณ ที่ว่าการอำเภอภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือน ที่จ่ายเงินได้ พึงประเมินให้แก่บริษัทต่างประเทศ ตามมาตรา 83/6 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

71/35956


เรื่อง

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายค่าจัดส่งพนักงาน (Dispatch Fee)

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

23/09/2015

เลขที่หนังสือ

0702/8590

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 41 มาตรา 77/2 และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

หารือเกี่ยวกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายค่าจัดส่งพนักงาน (Dispatch Fee) รายบริษัท B เอเชีย จำกัด (บริษัทฯ) โดยมีข้อเท็จจริง ดังนี้

1. บริษัทฯ จดทะเบียน เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม มีนาย ม หรือนาย ท หรือนาย ฮ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทฯ บริษัทฯ ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งบริษัทฯ มีสถานะเป็นบริษัทลูกของบริษัท A จำกัด (บริษัทแม่) ตั้งอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

2.บริษัทฯ ได้ทำข้อตกลงกับบริษัทแม่ในการจัดส่งพนักงานเข้ามาทำงานให้บริษัทฯ ในประเทศไทยตามหนังสือสัญญาเกี่ยวกับคำสั่งให้ไปประจำหน้าที่นอกพื้นที่การเปลี่ยนแปลงหรือการต่อระยะเวลาการปฏิบัติงานขึ้นอยู่กับความพร้อมของบริษัทฯ โดยจะต้องหารือกันทั้งสองฝ่าย และต้องกำหนดเป็นการล่วงหน้า 3 เดือน ซึ่งพนักงานชาวญี่ปุ่นยังมีฐานะเป็นพนักงานของบริษัทแม่ และนับอายุงานในประเทศญี่ปุ่นต่อเนื่องกันไป

3. บริษัทฯ เป็นผู้รับผิดชอบจ่ายเงินเดือน และเงินโบนัสแก่พนักงานชาวญี่ปุ่นขณะที่มาทำงานในประเทศทั้งหมด ดังนี้

      3.1 บริษัทแม่จะโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีในประเทศญี่ปุ่นของพนักงานชาวญี่ปุ่น ทุกวันที่24 ของเดือน และบริษัทแม่จะออกใบแจ้งหนี้เรียกเก็บเงินที่จ่ายดังกล่าวจากบริษัทฯ ทุกเดือน และบริษัทฯ จะโอนเงินคืนให้แก่บริษัทแม่ในเดือนถัดไป โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมจากบริษัทฯ

      3.2 บริษัทฯ จะโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีในประเทศไทยของพนักงานชาวญี่ปุ่น

4. บริษัทฯ ขอทราบว่ากรณีบริษัทฯ จ่ายเงินเดือน และเงินโบนัสของพนักงานชาวญี่ปุ่นคืนให้แก่บริษัทแม่ในแต่ละเดือนตาม 3.1 เงินดังกล่าวเป็นเงินค่าจัดส่งพนักงาน (Dispatch Fee) หรือเงินจ่ายคืนให้แก่บริษัทแม่ (Reimbursement Fee)

แนววินิจฉัย

1. ภาษีเงินได้นิติบุคคลกรณีบริษัทฯ ทำข้อตกลงกับบริษัทแม่ ส่งพนักงานชาวญี่ปุ่นของบริษัทแม่เข้ามาทำงานให้กับบริษัทฯ ในประเทศไทย ตามหน้าที่หลักที่ระบุในหนังสือสัญญา เป็นระยะเวลาต่อเนื่องตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปตามหนังสือสัญญาเกี่ยวกับคำสั่งให้ไปประจำหน้าที่นอกพื้นที่ ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้รับผิดชอบจ่ายเงินเดือน และเงินโบนัสให้กับพนักงานชาวญี่ปุ่นในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศ ทั้งที่จ่ายจากบริษัทฯ ในประเทศไทย และที่จ่ายจากบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทแม่ไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการอื่นใดเพิ่มเติมอีก และพนักงานชาวญี่ปุ่นยังมีฐานะเป็นลูกจ้างของบริษัทแม่ กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาให้บริการโดยส่งพนักงานเข้ามาให้บริการในประเทศไทย ดังนั้น จึงเป็นการให้บริการผ่านลูกจ้างหรือพนักงานอื่น เป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่าหกเดือนภายในสิบสองเดือนใดๆ และถือว่า บริษัทแม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย ตามข้อ 5 วรรคสี่ แห่งอนุสัญญาฯ และการให้บริการดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ ตามข้อ 7 แห่งอนุสัญญาฯ ซึ่งบริษัทแม่ประกอบธุรกิจโดยผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย บริษัทแม่จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณจากค่าบริการซึ่งเป็นเงินเดือน และเงินโบนัสที่บริษัทฯ ต้องจ่ายให้พนักงานชาวญี่ปุ่นทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าบริการดังกล่าว บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 5.0 ตามข้อ 12 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528


2. ภาษีมูลค่าเพิ่มการให้บริการของบริษัทแม่ตาม 1. เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินเดือน และเงินโบนัสให้กับพนักงานชาวญี่ปุ่นทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นค่าบริการตามหนังสือสัญญาเกี่ยวกับคำสั่งให้ไปประจำหน้าที่นอกพื้นที่ บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของค่าบริการดังกล่าว ตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กรณีภาระภาษีของพนักงานชาวญี่ปุ่น)กรณีพนักงานชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานตามหน้าที่หลักที่ระบุในหนังสือสัญญาให้บริษัทฯ ในประเทศไทย ในนามของบริษัทต่างประเทศ ตามหนังสือสัญญาเกี่ยวกับคำสั่งให้ไปประจำหน้าที่นอกพื้นที่ เงินเดือนและเงินโบนัสของบุคคลดังกล่าวถือเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย ไม่ว่าจะจ่ายจากในหรือนอกประเทศไทยก็ตาม ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 14 แห่งอนุสัญญาฯ แม้พนักงานชาวญี่ปุ่นไม่ได้นำเงินเดือนที่จ่ายโดยบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทยก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

78/39848

หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ