กรณีบริษัท A จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นคลินิกเสริมความงาม โดยจดทะเบียนเป็นสถานประกอบการพยาบาล ซึ่งไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่เนื่องจากในอดีตบริษัทเคยมีการขายสินค้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี บริษัทจึงเข้าจดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัจจุบันบริษัทไม่มีการขายสินค้าหรือให้บริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ยังคงอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ ขณะนี้บริษัท A ได้รับข้อเสนอจากบริษัท True Money (TM) ให้รับ Incentive ตามยอดรายรับที่บริษัทได้รับผ่านช่องทางการชำระเงินของ True Money และยังได้รับข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินสนับสนุนสำหรับการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัทต้องทำการจ้างโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น Facebook เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้ามาใช้บริการ True Money มากขึ้น แล้วนำส่งเอกสารหลักฐานการโฆษณาให้แก่บริษัท TM เพื่อพิจารณาอนุมัติรายจ่ายดังกล่าว หากเห็นว่ายอดการรับเงินผ่าน True Money เพิ่มขึ้น บริษัท TM จะมอบเงินสนับสนุนค่าโฆษณานี้ต่อไป จากกรณีดังกล่าว บริษัท A ขอสอบถามหลักเกณฑ์ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่าย ดังนี้: 1. Incentive: บริษัท A เห็นว่าการได้รับเงิน Incentive จากยอดการรับชำระเงินผ่าน True Money เมื่อถึงเป้าหมายที่กำหนดนั้นถือเป็นการจ่ายรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการขาย ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นค่าตอบแทนจากการขายสินค้าหรือการให้บริการตามมาตรา 77/1 (8) และมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น บริษัท A จึงไม่ต้องนำเงิน Incentive ดังกล่าวไปรวมคำนวณเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่างใด เงิน Incentive ดังกล่าว ไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3 ของเงินได้ เนื่องจากไม่เข้าลักษณะเป็นรางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นได้ให้บริการแก่ผู้รับบริการซึ่งผู้ให้บริการทราบโดยชัดแจ้งว่าผู้รับบริการนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อ หรือตามพฤติการณ์ผู้รับบริการมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อแน่นอน ตามข้อ 7 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 118/2545ฯ
2. Budget Ad: กรณีบริษัท A พิจารณาเห็นว่า เงินสนับสนุนที่ได้รับเพื่อนำไปใช้ในการจ้างโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าหันมาใช้ True Money เพิ่มขึ้นนั้น ถือเป็นการให้เงินโดยมีเงื่อนไข และมีการกระทำคือการจ้างโฆษณาต่อ ซึ่งถือว่าเป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้เงินสนับสนุนดังกล่าวไม่ใช่การส่งเสริมการขายโดยตรง ดังนั้น บริษัท A เป็นเพียงผู้นำเงินดังกล่าวไปใช้ในการจ้างโฆษณาต่อและไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติมจากบริษัท TM แต่เป็นรายได้ค่าบริการจึงอยู่ในบังคับที่ต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามข้อ 12/1 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |