คำตอบ
ห้องพักที่บริษัทฯ จัดไว้ให้พนักงานเข้าพักฟรีนั้น เป็นอาคาร ห้องพัก ที่เป็นทรัพย์สินและกรรมสิทธิ์ของบริษัท เจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิประเมินรายได้ค่าเช่าห้องพักที่ให้พนักงานพักฟรี โดยไม่มีค่าตอบแทนได้ ตามมาตรา 65ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
คำถาม - ตอบข้อ 1 1. เจ้าหน้าที่สรรพากรเคยตรวจสอบและแนะนำให้บริษัทฯ deem income ตามราคาตลาด ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ถูกต้องหรือไม่
คำตอบ เจ้าหน้าที่ประเมินรายได้ตามราตลาดถูกต้องแล้วคะ การที่บริษัทให้ใช้พื้นที่อาคาร ห้องพัก โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ รวมทั้งค่าสาธารณูปโภคทั้งหลาย ค่าน้ำ ค่าไฟ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการใช้พื้นที่ โดยไม่มีค่าตอบแทน ตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงต้องนำมูลค่าการให้พักอาศัยฯ ดังกล่าว ตามราคาตลาดมาถือรวมเป็นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7% ที่ต้องเสียในแต่ละเดือนภาษี (เฉพาะกรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยไม่ต้องออกใบกำกับภาษีตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 86/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 และมาตรา 86/5 แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่มีลักษณะเป็นแบบเต็มรูป ลงวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2542
เนื่องจากกิจการมีทั้งกิจการ VAT & NON VAT ดังนั้นบริษัทจะต้องแยกให้ได้ว่า พนักงานที่เข้าพักดังกล่าวดูแลส่วนงานของกิจการ VAT เท่าไหร่ และ NON VAT เท่าไหร่ และให้นำเฉพาะค่าห้องพักในส่วนของกิจการ VAT มาคำนวณภาษี VAT 7% และ พนักงานที่ดูแลกิจการ NON VAT อยู่ในรายได้ยกเว้น VAT ในการกรอกแบบภ.พ.30
คำถาม - ตอบข้อ 2 2. รายได้ deem income ตีความเป็นรายได้ประเภทใด 2.1 เป็นรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องนำไปกรอกแบบ ภ.พ.30 ข้อ 3 รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และเป็นฐานในการเฉลี่ยภาษีซื้อ ใช่หรือไม่ หรือ 2.2 เป็นรายได้อื่นๆ ที่ต้องกรอกใน ภ.พ.30 ข้อ3. รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี และเป็นฐานในการเฉลี่ยภาษีซื้อ ใช่หรือไม่
คำตอบ จะเหมือนข้อ 1 ค่าห้องพักที่ให้พนักงานอยู่ฟรีถือเป็นรายได้จากการให้บริการใช้พื้นที่ โดยไม่มีค่าตอบแทน เสีย VAT 7% ตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้มีการส่งครอบครองพื้นที่ให้แก่พนักงาน บริษัทฯ ยังคงมีสิทธิเข้าไปจัดการ ดูแล ทรัพย์สินดังกล่าว ตลอดระยะเวลาที่พนักงานเข้าพัก ไม่มีการทำสัญญาเช่าใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้นรายได้ดังกล่าวจะต้องแยกเป็นรายได้ VAT & NON VAT และเป็นฐานในการเฉลี่ยภาษีซื้อด้วย รายได้จะต้องแยกตามการเข้าพักของพนักงานว่า พนักงานที่เข้าพักดังกล่าวดูแลส่วนงานของกิจการ VAT เท่าไหร่ และ NON VAT เท่าไหร่ และให้นำเฉพาะค่าห้องพักในส่วนของกิจการ VAT มาคำนวณภาษี VAT 7% และ พนักงานที่ดูแลกิจการ NON VAT อยู่ในรายได้ยกเว้น VAT ในการกรอกแบบภ.พ.30
คำถาม - ตอบข้อ 3 3. รายจ่ายค่าเช่าหอพัก ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้หรือไม่
คำตอบ อันนี้แอบสงสัยว่า บริษัทมีรายจ่ายค่าเช่าหอพัก งั้นแสดงว่าบริษัท ไม่ได้มีอาคาร ห้องพักที่เป็นกรรมสิทธิของบริษัท หากเป็นกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจประเมินรายได้ค่าเช่าห้องพักที่บริษัทจัดให้แก่พนักงาน
กรณีที่บริษัทฯ ต้องจัดให้พนักงานอยู่อาศัย และแจ้งให้พนักงานทราบเป็นการทั่วไป มิใช่นโยบายภายในที่รู้กันเฉพาะพนักงานบางรายแล้ว บริษัทฯ มีสิทธินำค่าห้องพัก ค่าน้ำ และค่าไฟฟ้ามาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ถือเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ และไม่ใช่รายจ่ายที่มีลักษณะเป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร
คำถาม - ตอบข้อ 4 4. กรณีบิลค่าไฟฟ้าเป็นชื่อบริษัทฯ ภาษีซื้อค่าไฟฟ้า สามารถขอคืน ได้หรือไม่
คำตอบ บิลค่าไฟฟ้า หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการให้สวัสดิการแก่พนักงาน มีระเบียบสวัสดิการชัดเจน ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ หากได้รับต้นฉบับใบกำกับภาษีและมีข้อมูลครบถ้วนตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฏากร ก็ไม่ต้องห้ามนำมาหักในการคำนวณภาษี ตามมาตรา 82/5(3) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ สามารถนำภาษีซื้อจากค่าอาหารดังกล่าวไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
เนื่องจากกิจการมีทั้งกิจการ VAT & NON VAT ดังนั้นบริษัทจะต้องแยกให้ได้ว่า พนักงานที่เข้าพักดังกล่าวดูแลส่วนงานของกิจการ VAT เท่าไหร่ และ NON VAT เท่าไหร่ และให้นำเฉพาะภาษีค่าไฟในส่วนของกิจการ VAT มาคำนวณภาษี VAT 7% และ พนักงานที่ดูแลกิจการ NON VAT อยู่ในรายได้ยกเว้น VAT ในการกรอกแบบภ.พ.30
กรณีรายจ่ายทั้งหมด ไม่มีรายงานการประชุมหรือระเบียบสวัสดิการ คำตอบ ค่าห้องพักฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ที่ให้พนักงานเข้าพัก ไม่ได้มีรายงานการประชุม หรือระเบียบสวัสดิการที่แจ้งให้พนักงานทราบเป็นการทั่วไป เป็นการให้เฉพาะเจาะจงแก่พนักงานเพียงบางคนนั้น
- บริษัทรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายบวกกลับเนื่องจากเป็นรายจ่ายที่ให้โดยเสน่หา ต้องห้ามตามมาตรา 65ตรี(3) แห่งประมวลรัษฎากร และ ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ ตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร
- กรณีที่บริษัทรับรู้เป็นค่าใช้จายบวกกลับ พนักงานไม่ต้องถือเป็นเงินได้ของพนักงาน เนื่องจากเข้าลักษณะตามมาตรา 42(28) แห่งประมวลรัษฎากร พนักงานจึงไม่ต้องถือเป็นเงินได้ มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ (28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งนี้ จากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรสเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินสิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น |
- และภาษีซื้อค่าน้ำ ค่าไฟ ก็ไม่สามารถนำมาหักกับภาษีขายได้ เนื่องจากเป็นภาษีซื้อไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ ตามมาตรา 65 ตรี (6ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร
กฏหมายประกอบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT)
มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้ รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด (1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน
|
กฏหมายประกอบภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) มาตรา 65 ตรีรายการต่อไปนี้ ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ “(3) รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว การให้โดยเสน่หา หรือการกุศล เว้นแต่.. (6 ทวิ) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระหรือพึงชำระ และภาษีซื้อของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน เว้นแต่ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีซื้อของผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งต้องเสียภาษีตามมาตรา 82/16 ภาษีซื้อที่ต้องห้ามนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5 (4) หรือภาษีซื้ออื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (13) รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ
|
กฏหมายประกอบภาษีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
| มาตรา 77/1 ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น (8) " ขาย " หมายความว่า จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึง...
มาตรา 77/2 การกระทำกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักรให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามบทบัญญัติในหมวดนี้ (1) การขายสินค้าหรือการให้บริการโดยผู้ประกอบการ
มาตรา 82/5 ภาษีซื้อในกรณีดังต่อไปนี้ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 (3) ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของผู้ประกอบการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด | https://www.rd.go.th/3403.html ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 4รายได้ตามข้อ 2 และข้อ 3 หมายความว่า (1) รายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่า มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่มูลค่าของฐานภาษีของกิจการให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยานหรือเรือเดินทะเล ในกรณีรับขนคนโดยสาร ให้หมายความรวมถึงมูลค่าของค่าโดยสาร ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บ นอกราชอาณาจักรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เนื่องในการรับขนคนโดยสารด้วยหรือในกรณีรับขนสินค้าให้หมายความรวมถึงมูลค่าของค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เนื่องในการรับขนสินค้าเข้าในราชอาณาจักรด้วย (2) รายได้ของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่า มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รายรับของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และรายรับของกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ และให้หมายความรวมถึงรายรับสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 26 มาตรา 27 มาตรา 28 มาตรา 29 และมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 (แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 67) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นไป) รายได้ตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึง (ก) รายได้ที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนนำเงินไปหาประโยชน์โดยการฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ หรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินอื่น แต่ทั้งนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับการประกอบกิจการตามมาตรา 91/2(1)(2) และ (3) แห่งประมวลรัษฎากร (ข) รายได้ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีการกู้ยืมเงินกันเองในระหว่างบริษัทในเครือเดียวกัน คำว่า "บริษัทในเครือเดียวกัน" หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปซึ่งมีความสัมพันธ์กันโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอีกแห่งหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือนก่อนวันที่มีการกู้ยืม (ค) รายได้ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงานหรือทุนอื่นใดเพื่อพนักงาน และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้นำเงินกองทุนนี้ออกให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกู้ยืมเป็นสวัสดิการ (ง) รายได้ที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีการประกอบกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร (แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 153) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป)
|
|
|
มาตรา 65 ทวิการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิในส่วนนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(4) ในกรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน โดยไม่มีค่าตอบแทน ค่าบริการหรือดอกเบี้ย หรือมีค่าตอบแทน ค่าบริการหรือดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ค่าบริการหรือดอกเบี้ยนั้นตามราคาตลาดในวันที่โอน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน ( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2521 ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2522 เป็นต้นไป )
|
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 23/2533 เรื่องการกำหนดมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าเป็นเงินได้พึงประเมิน เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการกำหนดมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ข้อ 1 กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้กำหนดมูลค่าจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ดังต่อไปนี้ (1) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี (2) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มตามเกณฑ์ใน (1) เป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างแต่ละคน (3) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่าตาม (1) ไม่ว่าจะเป็นการโต้แย้งในชั้นการตรวจสอบไต่สวนหรือในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินค่าเช่าของบ้านนั้น ๆ ว่าสมควรให้เช่าได้ตามปกติปีละเท่าใด และให้ทำบันทึกการประเมินไว้เป็นหลักฐานแล้วรายงานขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพากร และใหถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผุ้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป (4) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (3) หลังเดียวอยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่ประเมินได้ตาม (3) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี และให้ถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป (5) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่าและเป็นบ้านที่นายจ้างได้ไปเช่าจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามค่าเช่าที่นายจ้างได้จ่ายไปจริง (6) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (5) อยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่นายจ้างได้จ่ายไปจริงตาม (5) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี ข้อ 2 ในกรณีนายจ้างได้เช่าบ้านให้เป็นที่พักอาศัยของพนักงาน ซึ่งดำรงตำแหน่งระดับบริหาร โดยนายจ้างเป็นผู้ออกค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าคนสวน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้าน แม้ต่อมาพนักงานผู้นั้นหรือนายจ้างจะได้ใช้บ้านดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นสถานที่ประชุมและปรึกษาหารือกิจการของนายจ้างตลอดจนการจัดงานเลี้ยงรับรองลูกค้าสำคัญ ๆ ของนายจ้างเป็นครั้งคราว ถือได้ว่าค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายไปเป็นประโยชน์ที่พนักงานผู้นั้นได้รับทั้งสิ้น พนักงานผู้นั้นจะต้องนำประโยชน์ที่ได้รับทั้งหมดมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย สั่ง ณ วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2533 บัณฑิต บุณยะปานะ อธิบดีกรมสรรพากร
|
อ้างอิงคำตอบ เรื่อง | ก่อสร้างอาคาร 5 ชั้น กำหนดให้ชั้น 1 – 3 เป็นสำนักงาน ชั้นที่ 4 - 5 เป็นที่อยู่อาศัยครอบครัวของกรรมการผู้บริหาร | แหล่งที่มา | Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ | วันที่ | วันที่ถาม 20/01/2023 - วันที่ตอบ 21/01/2023 | ประเภทภาษี | ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีมูลค่าเพิ่ม | ข้อกฎหมาย | มาตรา 50 (1), มาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร, คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/2533 | ปุจฉา | บริษัทฯ กำลังก่อสร้างอาคาร 5 ชั้น ทางเจ้าของกำหนดให้ชั้น 1 – 3 เป็นสำนักงาน ชั้นที่ 4 - 5 เป็นที่อยู่อาศัยครอบครัวของกรรมการผู้บริหารซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น กรณีนี้ทางบริษัทฯ จะมีแนวทางดำเนินการอย่างไรบ้าง เพื่อกำหนดเป็นสวัสดิการผู้บริหารพักอาศัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนอาคาร ค่าตกแต่งอาคารเป็นทรัพย์สินบริษัทฯ | วิสัชนา | ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/2533 เรื่อง การกำหนดมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าเป็นเงินได้ พึงประเมิน ลงวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2533 กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติสำหรับการกำหนดมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้ “ข้อ 1 กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้กำหนดมูลค่าจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ดังต่อไปนี้ (1) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี (2) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มตามเกณฑ์ใน (1) เป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างแต่ละคน (3) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่าตาม (1) ไม่ว่าจะเป็นการโต้แย้งในชั้นการตรวจสอบไต่สวนหรือในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินค่าเช่าของบ้านนั้น ๆ ว่าสมควรให้เช่าได้ตามปกติปีละเท่าใด และให้ทำบันทึกการประเมินไว้เป็นหลักฐานแล้วรายงานขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพากร และใหถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผุ้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป (4) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (3) หลังเดียวอยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่ประเมินได้ตาม (3) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี และให้ถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป (5) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่าและเป็นบ้านที่นายจ้างได้ไปเช่าจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามค่าเช่าที่นายจ้างได้จ่ายไปจริง (6) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (5) อยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่นายจ้างได้จ่ายไปจริงตาม (5) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี ข้อ 2 ในกรณีนายจ้างได้เช่าบ้านให้เป็นที่พักอาศัยของพนักงาน ซึ่งดำรงตำแหน่งระดับบริหาร โดยนายจ้างเป็นผู้ออกค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าคนสวน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้าน แม้ต่อมาพนักงานผู้นั้นหรือนายจ้างจะได้ใช้บ้านดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นสถานที่ประชุมและปรึกษาหารือกิจการของนายจ้างตลอดจนการจัดงานเลี้ยงรับรองลูกค้าสำคัญ ๆ ของนายจ้างเป็นครั้งคราว ถือได้ว่าค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายไปเป็นประโยชน์ที่พนักงานผู้นั้นได้รับทั้งสิ้น พนักงานผู้นั้นจะต้องนำประโยชน์ที่ได้รับทั้งหมดมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย”
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า กรณีตามข้อเท็จจริง กรณีบริษัทฯ กำลังก่อสร้างอาคาร 5 ชั้น ผู้ถือหุ้น (เจ้าของ) กำหนด ให้ชั้น 1 – 3 เป็นสำนักงาน ชั้นที่ 4 – 5 เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวของกรรมการผู้บริหารซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น กรณีนี้ทางบริษัทฯ พึงมีแนวทางดำเนินการต่อไปดังนี้ เพื่อกำหนดเป็นสวัสดิการผู้บริหารพักอาศัยได้ “โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากกรรมการ” 1. การกำหนดสวัสดิการแก่กรรมการ บริษัทฯ ต้องมีรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับสวัสดิการสำหรับผู้บริหาร ให้พักอาศัยชั้นที่ 4 – 5 ของอาคารได้ “โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดจากกรรมการ”
2. กรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้ใช้พื้นที่อาคารโดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ รวมทั้งค่าสาธารณูปโภคทั้งหลาย เข้าลักษณะเป็นการให้บริการใช้พื้นที่ โดยไม่มีค่าตอบแทน ตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงพึงต้องนำมูลค่าการให้พักอาศัยฯ ดังกล่าว ตามราคาตลาดมาถือรวมเป็นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสียในแต่ละเดือนภาษี (เฉพาะกรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยไม่ต้องออกใบกำกับภาษีตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 86/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 และมาตรา 86/5 แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่มีลักษณะเป็นแบบเต็มรูป ลงวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2542
3. กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย บริษัทฯ ต้องถือปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/2533 เรื่อง การกำหนดมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าเป็นเงินได้ พึงประเมิน ลงวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2533 เพื่อนำมาถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ของกรรมการ รวมทั้งค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่ได้เรียกเก็บจากกรรมการตามข้อ 2 ดังกล่าว ในการคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะคลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |
เรื่อง | ภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีสร้างอาคารที่พักอาศัยให้พนักงานเป็นสวัสดิการ | แหล่งที่มา | ข้อหารือ กรมสรรพากร | วันที่ | 20/10/2008 | เลขที่หนังสือ | กค 0702/6872 | ประเภทภาษี | ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีมูลค่าเพิ่ม | ข้อกฎหมาย | มาตรา 39 มาตรา 40(1)(2) มาตรา 65 ตรี (3)(13) มาตรา 82/3 มาตรา 86 มาตรา 86/4 มาตรา 78/3 และมาตรา 79/3(1) แห่งประมวลรัษฎากร | ข้อหารือ | บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ประกอบกิจการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน บริษัทฯ จึงสร้างอาคาร 4 ชั้น เป็นที่พักอาศัยในบริเวณโรงงาน ที่พักดังกล่าวพนักงานของบริษัทฯ ทุกคนมีสิทธิเข้าอยู่อาศัยห้องละไม่เกิน 3 คน บริษัทฯ จัดไว้ เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ พนักงาน โดยมิได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด บริษัทฯจึงขอทราบว่า บริษัทฯ มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อจากการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยได้หรือไม่ และมีภาระภาษีอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ และพนักงานอย่างไร | แนววินิจฉัย | 1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1.1 กรณีพนักงานได้อยู่ห้องพักโดยไม่เสียค่าเช่า ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมาตรา 40(1) หรือมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร พนักงานจึงต้องนำประโยชน์เพิ่มที่ได้รับทั้งหมด มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี(ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี กรณีพนักงานหลายคนอยู่ห้องเดียวกันโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มเป็นเงินได้พึงประเมิน ของพนักงานแต่ละคนในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี 1.2 กรณีบริษัทฯ จ่ายค่าใช้จ่ายในห้องพักตาม 1.1 เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เป็นต้น เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมาตรา 40(1) หรือมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร ถือเป็นประโยชน์เพิ่มที่พนักงานได้รับทั้งสิ้น จึงต้องนำประโยชน์เพิ่มที่ได้รับทั้งหมดมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีบริษัทฯ สร้างอาคารที่พักให้พนักงานอยู่อาศัย โดยไม่มีค่าตอบแทน หากเป็น กรณีที่บริษัทฯ ต้องจัดให้พนักงานอยู่อาศัย และแจ้งให้พนักงานทราบเป็นการทั่วไป มิใช่นโยบายภายในที่รู้กันเฉพาะพนักงานบางรายแล้ว บริษัทฯ มีสิทธินำค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้ามาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.1 กรณีบริษัทฯ ก่อสร้างอาคารที่พักให้พนักงาน หากบริษัทฯ ได้รับใบกำกับภาษีที่มีรายการถูกต้องและครบถ้วนจากการซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างจากผู้ประกอบการที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษี บริษัทฯ มีสิทธินำมาถือเป็นภาษีซื้อหักจากภาษีขายได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 82/3 มาตรา 86 และมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร 3.2 กรณีบริษัทฯ ให้พนักงานใช้น้ำประปาและไฟฟ้า โดยไม่คิดค่าตอบแทนถือเป็น การขายสินค้า ต้องนำค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้ามารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษี ในการคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 78/3 และมาตรา 79/3(1) แห่งประมวลรัษฎากร 3.3 กรณีภาษีซื้อค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าของอาคารที่พัก เข้าลักษณะเป็นภาษีซื้อ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ จึงไม่ต้องห้ามนำมาหักจากภาษีขายตามมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร
| เลขตู้ | 71/36194 |
|