กรณีบุคคลธรรมดา เป็นเจ้าของร้านขายของชำ มีเงินได้จากการขายของชำ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร และมีเงินได้จากค่านายหน้าจากการเป็นตัวแทนประกันวินาศภัย ซึ่งโดยทั่วไปเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่ กรณีเข้าลักษณะที่กรมสรรพากรอนุโลมให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 115/2545 ซึ่งต้องมีลักษณะการประกอบกิจการดังนี้ (ก) ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและ (ข) ได้จัดตั้งเป็นสำนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีอาคารสำนักงานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง หรือเช่าจากบุคคลอื่น โดยมีหลักฐาน เช่น หลักฐานการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าสำนักงาน และ (ค) มีการลงทุนด้วยการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน และ (ง) มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีหลักฐานตามสัญญาจ้างแรงงาน หลักฐานการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และหลักฐานการแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง ในกรณีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่มีภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายและนำส่ง จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นรายการเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงานตามแบบ ภ.ง.ด.1 ก. (จ) มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ เช่น ค่ารับรอง หรือค่าบริการเพื่อประโยชน์ในการติดต่องานกับลูกค้า และ (ฉ) มีหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิต ว่าไม่มีการจ่ายเงินชดเชยหรือออกค่าใช้จ่ายแทนให้ การยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90 เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี สำหรับเงินได้พึงประเมินทั้งสอง 2 ประเภทดังกล่าว ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้มารวมคำนวณภาษ๊เงินได้ในแบบ ภ.ง.ด.90 ฉบับเดียวกัน จะเลือกนำเงินได้ประเภทใดประเภทหนึ่งมายื่นรายการแต่เพียงลำพังไม่ได้ เว้นแต่ไม่ใช่เงินได้พึงประเมินของตนเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |