Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

รายจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าประสานงาน ให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน


เรื่อง รายจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าประสานงาน ให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 14/05/2023 - วันที่ตอบ 15/05/2023
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อกฎหมาย าตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี, มาตรา 71 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา
สอบถามเกี่ยวรายจ่ายค่าธรรมเนียมค่ะ 
    บริษัท A กับบริษัท B เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ประกอบกิจการออกแบบ เขียนแบบอาคาร โดยบริษัท B ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่บริษัท A เป็นค่าจ้างที่บริษัท A ช่วยหางานให้ ประสานงานให้ โดยมีหลักฐานการจ่าย การโอนทุกอย่าง 
อยากทราบว่า 
ค่าธรรมเนียมตรงนี้ ในทางภาษีบริษัท B ถือเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้มั้ยคะ เพราะบริษัท B โดนสรรพากร สอบถามรายละเอียดการจ่าย โดยสรรพากรแจ้งว่า จะบวกกลับเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามทางภาษีค่ะ ช่วยแนะนำหลักประมวลรัษฎากร หรือเงื่อนไขที่ชัดเจนให้หน่อยค่ะ ว่าเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามจริงๆ รึเปล่าคะ
วิสัชนา
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาองค์ประกอบรายจ่ายในการดำเนินกิจการ ที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ ตามประมวลรัษฎากร นั้นรายการรายจ่ายดังกล่าวต้องครบองค์ประกอบทุกข้อดังนี้
    (1) ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ ซึ่งได้แก่ รายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นปกติธุระในการดำเนินกิจการทั่วไป
รายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ และรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ได้แก่ รายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นปกติธุระในการดำเนินกิจการทั่วไป ที่มีที่มาที่ไป หรือเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจ่ายรายจ่ายรายการนั้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการนำพนักงานของบริษัท ไปทัศนาจรเป็นการพักผ่อนเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพและกำลังใจในการปฏิบัติงาน โดยจัดเป็นคณะมิใช่เจาะจงเป็นการเฉพาะราย ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการของบริษัทโดยตรง ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร การนำทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาใช้ในกิจการของบริษัท โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่บริษัท ต้องออกค่าซ่อมแซม ออกอะไหล่และส่วนประกอบ หรือออกค่าน้ำมันเชื้อเพลิงหรืออื่นๆ โดยมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น รายจ่ายดังกล่าว ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร และ
    (2) ต้องเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ และพิสูจน์ได้ว่า มีเหตุผลอันสมควรที่จะจ่ายรายการรายจ่ายนั้น อนุโลมตามมาตรา 65 ตรี (13) และ (15) แห่งประมวลรัษฎากร และ
    (3) ต้องเป็นรายจ่ายที่มีหลักฐานการจ่ายที่สามารถพิสูจน์ผู้รับได้ ได้แก่ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบสั่งของ ใบแจ้งหนี้ เป็นต้น สำหรับในบางกรณีที่ไม่มีการจ่ายเงิน หรือค่าตอบแทนอย่างอื่น แต่เกิดค่าใช้จ่ายขึ้น เช่น กรณีภัยพิบัติต่างๆ อุบัติเหตุ การฉ้อโกง การลักขโมย ฯลฯ กิจการต้องแสวงหาหลักฐานที่จะสนับสนุนรายการรายจ่ายดังกล่าว เช่น หลักฐานการแจ้งความลงบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภาพถ่าย ข่าวสารหนังสือพิมพ์ เป็นต้น ตามมาตรา 65 ตรี (18) แห่งประมวลรัษฎากร และ
    (4) ต้องเป็นรายจ่ายสิ้นเปลืองหมดไปที่ไม่ก่อให้เกิดเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี มิฉะนั้น อาจถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร และ
    (5) ต้องเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้ มิใช่รายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง ตามมาตรา 65 ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร และ
    (6) รายจ่ายในการดำเนินงานเกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีปีใด ให้ถือเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น เว้นแต่ในกรณีที่ไม่สามารถกำหนดจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีใด ก็ให้ถือเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีที่รายจ่ายนั้นกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้ ตามมาตรา 65 ว่าเกณฑ์รับรู้รายจ่ายตามเกณฑ์สิทธิ และมาตรา ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร และ
    (7) ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีแล้ว ตามมาตรา 65 ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร และ
    ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า 
    กรณีบริษัท B ได้จ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้าให้แก่บริษัท A เป็นค่าจ้างที่บริษัท A ช่วยหางานให้ ประสานงานให้ โดยมีหลักฐานการจ่าย การโอนเงินครบถ้วนทุกอย่าง นั้น หากหลักเกณฑ์การจ่ายค่าธรรมเนียมดังกล่าว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการพิจารณาองค์ประกอบรายจ่ายในการดำเนินกิจการข้างต้นแล้ว เช่นนี้ ในทางภาษี บริษัท B ย่อมนำรายการรายจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้าถือไปถือเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แต่อย่างใด 
อย่างไรก็ตาม ตามมาตรา 71 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร นั้น หากเจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินรายจ่ายของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยลดรายจ่ายของบริษัท B ลง เจ้าพนักงานต้องให้สิทธิบริษัท A ลดจำนวนรายได้ลงด้วยเช่นเดียวกัน 
    “มาตรา 71 ทวิ ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันมีข้อกำหนดทางด้านการพาณิชย์หรือการเงินระหว่างกันแตกต่างไปจากที่ควรได้กำหนด หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวได้ดำเนินการโดยอิสระในลักษณะที่เชื่อได้ว่ามีการถ่ายโอนกำไร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจปรับปรุงรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าว ให้ได้จำนวนรายได้ที่พึงได้รับและรายจ่ายที่พึงได้จ่าย หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวได้ดำเนินการโดยอิสระเสมือนว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวได้รับและได้จ่ายตามนั้นเพื่อใช้คำนวณกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 65 หรือเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 70 หรือมาตรา 70 ทวิ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
         บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะ ดังต่อไปนี้
         (1) นิติบุคคลหนึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด
         (2) ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด หรือ
         (3) นิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านทุน การจัดการ หรือการควบคุมในลักษณะที่นิติบุคคลหนึ่งไม่อาจดำเนินการโดยอิสระจากอีกนิติบุคคลหนึ่งตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
         ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ปรับปรุงรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตามวรรคหนึ่งแล้ว มีผลให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้ชำระภาษีไว้หรือถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี หรือที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนดหรือภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการปรับปรุงนั้นจากเจ้าพนักงานประเมินเป็นหนังสือ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด”



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ "

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ