Case study

ภาระภาษีกรณีบริษัทให้ที่พักแก่พนักงานอยู่ฟรี


เรื่อง ภาระภาษีกรณีบริษัทให้ที่พักแก่พนักงานอยู่ฟรี
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 27/05/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย
คำถาม

บริษัทจัดให้มีที่พักแก่พนักงาน  โดยเป็นที่พักส่วนรวม  ให้พักร่วมกัน

คำถาม

1. ค่าใช้จ่ายใดๆก็ตามที่ซื้อเข้าที่พักพนักงาน สามารถบันทึกเป็น ค่าใช้จ่ายห้องพักพนักงานได้ไหม เช่น เตียง โต๊ะ ผ้าปูที่นอน หมอน อื่นๆ 

2. ปัจจุบัน บริษัทไม่ได้ขอคืนภาษีซื้อ เช่น ผ้าปูที่หนอน และ หมอน เป็นต้น แต่แอร์ เตียง ขอคืนภาษีซื้อ ถูกต้องหรือไม่ 

3. บริษัทบันทึกสินทรัพย์ เช่น แอร์ และมีการรันค่าเสื่อมราคา 5 ปี ตามปกติ 

4. ค่าน้ำค่าไฟ ไม่สามารถแยกมิเตอร์ได้ ปัจจุบันถูกรวมกับมิเตอร์โรงงาน และไม่ได้มีการเรียกเก็บเงินค่าน้ำไฟจากพนักงาน โดยบริษัทจะทำเอกสารประกอบตามไฟล์แนบ ใช้ได้หรือไม่ และไม่มีการแยก GL 

5. บริษัทไม่นับว่าสวัสดิการที่ให้พนักงานดังกล่าวต้องถูกรวมเป็นเงินได้พนักงาน เนื่องจากเป็นสวัสดิการที่เป็นส่วนรวม เเละมีกฏระเบียบสวัสดิการกำหนดไว้ชัดเจน

คำตอบ

คำตอบ

ก่อนจะตอบคำถาม ขออธิบายหลักในการพิจาณาก่อนว่า สวัสดิการใดจะถือเป็นเงินได้พนักงานหรือไม่นั้นต้องพิจารณาว่า รายจ่ายที่จ่ายไป เป็นเพื่อประโยชน์ของบริษัทเป็นหลัก หรือเพื่อพนักงานเป็นหลัก

          - หากเป็นประโยชน์แก่บริษัทเป็นหลัก รายจ่ายนั้นจะไม่ถือเป็นเงินได้พนักงาน และหากเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการ สามารถลงเป็นรายจ่ายได้ ไม่ต้องห้าม หากมีภาษีซื้อก็สามารถนำมาเครดิตหักออกจากภาษีขายได้

          - หากเป็นประโยชน์แก่พนักงานเป็นหลัก เบื้องต้นต้องถือเป็นเงินได้ของพนักงาน ตามมาตรา 40(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน แต่ต้องมาพิจารณาต่อว่า มีกฏหมายใดให้การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกหรือไม่ หากมีก็ไม่ถือเป็นเงินได้พนักงาน กฏหมายหลักๆ ที่ยกเว้นจะอยู่ที่ มาตรา 42 และกฏกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) แต่ก็อาจจะมีกฏหมายประกาศยกเว้นมาเพิ่มเติมตามพระราชกฤษฏาฯ ตามนโยบายสนับสนุนในแต่ละช่วงเวลา 

และหากเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการ สามารถลงเป็นรายจ่ายได้ ไม่ต้องห้าม หากมีภาษีซื้อก็สามารถนำมาเครดิตหักออกจากภาษีขายได้

สรุปให้ตาม Flow chart


 





คำถาม – ตอบ ข้อ 1 -2

1. ค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ตามที่ซื้อเข้าที่พักพนักงาน สามารถบันทึกเป็น ค่าใช้จ่ายห้องพักพนักงานได้ไหม เช่น เตียง โต๊ะ ผ้าปูที่นอน หมอน อื่นๆ 

2. ปัจจุบัน บริษัทไม่ได้ขอคืนภาษีซื้อ เช่น ผ้าปูที่หนอน และ หมอน เป็นต้น แต่แอร์ เตียง ขอคืนภาษีซื้อ ถูกต้องหรือไม่ 


คำตอบ


1. เนื่องจากบริษัทฯ มีการจัดทำเป็นระเบียบสวัสดิการพนักงาน โดยได้มีการระบุถึงเหตุผลในการจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่เกี่ยวข้องและให้ประโยชน์แก่กิจการ บริษัทฯ มีสิทธิค่าใช้จ่ายห้องพักพนักงาน เช่น เตียง โต๊ะ ผ้าปูที่นอน หมอน อื่นๆ 

ที่มีชื่อ-ที่อยู่บริษัทครบถ้วนมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ถือเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ และไม่ใช่รายจ่ายที่มีลักษณะเป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร


2. สำหรับภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ หากได้รับต้นฉบับใบกำกับภาษีและมีข้อมูลครบถ้วน ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฏากร บริษัทฯ สามารถนำภาษีซื้อจาก ค่าใช้จ่ายห้องพักพนักงาน เช่น เตียง โต๊ะ ผ้าปูที่นอน หมอน อื่นๆ ดังกล่าวไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร






คำถาม – ตอบ ข้อ 3

3. บริษัทบันทึกสินทรัพย์ เช่น แอร์ และมีการรันค่าเสื่อมราคา 5 ปี ตามปกติ 

คำตอบ


บริษัท ฯ ปฏิบัติถูกต้องแล้วคะ รายจ่ายใดที่จ่ายไปเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน ที่ให้ประโยชน์มากกว่า 1 รอบระยะเวลาบัญชี บริษัทฯ ต้องใช้วิธีคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา ซึ่งแอร์ ถือเป็นทรัพย์สินอื่น ให้คำนวณค่าเสื่อมราคาในอัตรา 20% (5 ปี) ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2537


การคำนวณ หักตามระยะเวลาที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ในกรณีที่รอบระยะเวลาใดไม่เต็มสิบสองเดือนให้เฉลี่ยตามส่วนสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น    แต่  ไม่เกินอัตราร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สิน ที่กำหนดไว้ใน มาตรา 65 ทวิ(2)   แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับ พระราชกฤษฎีกา 145 มาตรา 4 (5) คือ ร้อยละ 20 (5 ปี)  


แนะนำว่า บริษัทฯ ควรจะมีการแยกสัดส่วน ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการไว้เป็นหมวดหมู่ เช่น หมวดหมู่สวัสดิการ เพื่อให้ง่ายต่อการบันทึกบัญชี และตรวจสอบ 

  • หากบริษัทต้องการบันทึกบัญชีอย่างละเอียด เมื่อคำนวณค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินที่เกี่ยวกับสวัสดิการ เช่น แอร์ โต๊ะ ตู้ เตียง  ลงเป็น รายจ่ายสวัสดิการ
  • หากบริษัทไม่ได้ซีเรียสเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะลงเป็น รายจ่ายค่าเสื่อมราคา ก็ได้เช่นกันคะ 


มาตรา 65 ทวิการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิในส่วนนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  (2) ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ให้หักได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา



พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร
 
ว่าด้วยหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145)พ.ศ. 2527


มาตรา การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินให้คำนวณหักตามระยะเวลาที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีในกรณีที่รอบระยะเวลาใดไม่เต็มสิบสองเดือนให้เฉลี่ยตามส่วนสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ทั้งนี้ ไม่เกินอัตราร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้ 

(5) ทรัพย์สินอย่างอื่น ซึ่งโดยสภาพของทรัพย์สินนั้นสึกหรอหรือเสื่อมราคาได้นอกจากที่ดินและสินค้า

ร้อยละ 20




คำถาม – ตอบ ข้อ 4

4. ค่าน้ำค่าไฟ ไม่สามารถแยกมิเตอร์ได้ ปัจจุบันถูกรวมกับมิเตอร์โรงงาน และไม่ได้มีการเรียกเก็บเงินค่าน้ำไฟจากพนักงาน โดยบริษัทจะทำเอกสารประกอบตามไฟล์แนบ ใช้ได้หรือไม่ และไม่มีการแยก GL 


คำตอบ

หากบริษัทฯ สามารถพิสูจน์รายจ่ายเกี่ยวกับห้องพักที่ให้แก่พนักงาน ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่กิจการ ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้ในระเบียบสวัสดิการ โดยไม่ได้ถือเป็นเงินได้พนักงานนั้น รายจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า จะไม่ทำการแยก GL ออกมาเป็นรายจ่ายสวัสดิการพนักงานก็สามารถทำได้  โดยลงเป็นรายจ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ไปตามปกติ



คำถาม – ตอบ ข้อ 5

5. บริษัทไม่นับว่าสวัสดิการที่ให้พนักงานดังกล่าวต้องถูกรวมเป็นเงินได้พนักงาน เนื่องจากเป็นสวัสดิการที่เป็นส่วนรวม เอกสารตามไฟล์แนบ


คำตอบ

หากบริษัทฯ สามารถพิสูจน์และชี้แจงเหตุผล ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้ในระเบียบสวัสดิการ ว่ารายจ่ายที่จ่ายไป เป็นเพื่อประโยชน์ของบริษัทเป็นหลักโดยให้พนักงานที่จำเป็นเข้าพัก สำหรับการปฏิบัติงานเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พนักงาน

รายจ่ายนั้นจะไม่ถือเป็นเงินได้พนักงาน เข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538  


"มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

               (1) ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าพาหนะ ซึ่งลูกจ้างหรือผู้รับหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะ ในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น 

         

ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538

         "ข้อ 1 ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ลูกจ้างหรือผู้มีหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้รับเนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเข้าลักษณะดังนี้

               (1) ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น

               (2) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนดจ่ายให้แก่ข้าราชการ ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น โดยไม่ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินมาพิสูจน์

               (3) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม (2) และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เพียงเฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม (2)

         ข้อ 2 การเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามข้อ 1 ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสำนักงานหรือนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้ โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณีด้วย" 






แต่หากพิสูจน์ไม่ได้  อาจจมีความเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่สรรพากรจะพิจารณาให้ถือเป็นเงินได้พนักงาน สำหรับ การจัดบ้านพักให้พนักงานอยู่ฟรี โดยมีภาระภาษีดังนี้


    (1) รายจ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับห้องพัก ถือเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ ได้ เพราะเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ  

    (2) ถือเป็นเงินได้ของพนักงานคนนั้นๆ ด้วย ซึ่งกรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/2529 ดังนี้ 

         "ข้อ 1 กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้กำหนดมูลค่าจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ดังต่อไปนี้

               (1) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี

               (2) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มตามเกณฑ์ใน (1) เป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างแต่ละคน

               (3) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่าตาม (1) ไม่ว่าจะเป็นการโต้แย้งในชั้นการตรวจสอบไต่สวนหรือในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินค่าเช่าของบ้านนั้น ๆ ว่าสมควรให้เช่าได้ตามปกติปีละเท่าใด และให้ทำบันทึกการประเมินไว้เป็นหลักฐานแล้วรายงานขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพากร และใหถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผุ้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป

               (4) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (3) หลังเดียวอยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่ประเมินได้ตาม (3) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี และให้ถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป

               (5) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่าและเป็นบ้านที่นายจ้างได้ไปเช่าจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามค่าเช่าที่นายจ้างได้จ่ายไปจริง

               (6) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (5) อยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่นายจ้างได้จ่ายไปจริงตาม (5) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี"  


(http://www.rd.go.th/publish/3611.0.html)



อ้างอิงคำตอบ


เรื่อง

บริษัทฯ เช่าบ้านให้พนักงานอยู่และซื้ออุปกรณ์ต่าง เช่น ที่นอน เตียง ตู้เย็น ติดตั้งแอร์ ฯ ที่เกี่ยวกับบ้านพัก ให้พนักงาน

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 18/05/2024 - วันที่ตอบ 23/05/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/ 2533 ฯ

ปุจฉา

บริษัทต่างประเทศ มีพนักงานคนจีนมาทำงานบริษัทฯ เช่าบ้านให้พนักงานอยู่และซื้ออุปกรณ์ต่าง เช่น ที่นอน เตียง ตู้เย็น ติดตั้งแอร์ เตาแก๊ส อุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับบ้านพักพวกนี้ต้องบันทึกบันทีกยังไงค่ะแอร์ เตียง บันทึกเป็นสินทรัพย์บริษัทฯ ได้ไหมค่ะ

วิสัชนา

ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/ 2533 เรื่อง การกำหนดมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าเป็นเงินได้ พึงประเมิน ลงวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2533 กรมสรรพากรวางแนวทางปฏิบัติสำหรับการกำหนดมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ไว้ดังต่อไปนี้

    “ข้อ 1กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้กำหนดมูลค่าจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ดังต่อไปนี้

         (1) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี

         (2) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มตามเกณฑ์ใน (1) เป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างแต่ละคน

         (3) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่าตาม (1) ไม่ว่าจะเป็นการโต้แย้งในชั้นการตรวจสอบไต่สวนหรือในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินค่าเช่าของบ้านนั้น ๆ ว่าสมควรให้เช่าได้ตามปกติปีละเท่าใด และให้ทำบันทึกการประเมินไว้เป็นหลักฐานแล้วรายงานขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพากร และให้ถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป

         (4) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (3) หลังเดียวอยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่ประเมินได้ตาม (3) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี และให้ถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป

         (5) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่าและเป็นบ้านที่นายจ้างได้ไปเช่าจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามค่าเช่าที่นายจ้างได้จ่ายไปจริง

         (6) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (5) อยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่นายจ้างได้จ่ายไปจริงตาม (5) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี


     ข้อ 2ในกรณีนายจ้างได้เช่าบ้านให้เป็นที่พักอาศัยของพนักงาน ซึ่งดำรงตำแหน่งระดับบริหาร โดยนายจ้างเป็นผู้ออกค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าคนสวน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้าน แม้ต่อมาพนักงานผู้นั้นหรือนายจ้างจะได้ใช้บ้านดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นสถานที่ประชุมและปรึกษาหารือกิจการของนายจ้างตลอดจนการจัดงานเลี้ยงรับรองลูกค้าสำคัญ ๆ ของนายจ้างเป็นครั้งคราว ถือได้ว่าค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายไปเป็นประโยชน์ที่พนักงานผู้นั้นได้รับทั้งสิ้น พนักงานผู้นั้นจะต้องนำประโยชน์ที่ได้รับทั้งหมดมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย” 


ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

1. กรณีบริษัทต่างประเทศ มีพนักงานคนจีนมาทำงานบริษัทฯ เช่าบ้านให้พนักงานอยู่และซื้ออุปกรณ์ต่าง เช่น ที่นอน เตียง ตู้เย็น ติดตั้งแอร์ เตาแก๊ส อุปกรณ์ต่าง ที่เกี่ยวกับบ้านพัก นั้น วัสุดอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ให้บันทึกเป็นสินทรัพย์บริษัทฯ

2. กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่าและเป็นบ้านที่นายจ้างได้ไปเช่าจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามค่าเช่าที่นายจ้างได้จ่ายไปจริง

    กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม 2 อยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่นายจ้างได้จ่ายไปจริงตาม 2 เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี

    ทั้งนี้ ตามข้อ 1 (5) และ (6) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/ 2533 ฯ ลงวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2533 ดังกล่าวข้างต้น



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์


เรื่อง

จ่ายค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหาร ให้แก่กรรมการ หรือ พนักงาน /จ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ให้แก่พนักงาน บางคน

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 20/04/2018 - วันที่ตอบ 20/04/2018

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538

ปุจฉา

ขอสออบถามอาจารย์ค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า

1. บริษัท มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหาร ให้แก่กรรมการ หรือ พนักงาน เพื่อไปควบคุมงานที่ของบริษัทฯที่ตั้งอยู่อีกแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด โดยจ่ายให้ในทุกๆ เดือน ที่ไปเป็นประจำรายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัท ได้หรือไม่และ/หรือต้องบวกเป็นเงินได้ของกรรมการ หรือ พนักงานน้้นๆ ด้วยหรือไม่


2. บริษัท มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ให้แก่พนักงานบางคน เพื่อให้ทำงานประจำที่สำนักงานของบริษัท ที่อยู่ต่างจังหวัด ให้ในทุกๆ เดือน (ตามบิลเรียกเก็บ)ค่าใช้จ่ายดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายของบริษัทได้หรือไม่และ/หรือต้องบวกเป็นเงินได้ของพนักงานนั้นๆ ด้วยหรือไม่


3. บริษัท มีห้องพักที่เป็นของบริษัท สร้างไว้ให้พนักงานบางตำแหน่ง เพื่อพักอาศัยในขณะที่ต้องทำงานประจำที่บริษัทที่ต่างจังหวัด ค่าน้ำ/ไฟค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับอาคารที่พัก ถือเป็นรายจ่ายของบริษัทได้หรือไม่และ/หรือต้องนำมารวมเป็นเงินได้ของพนักงานด้วยหรือไม่

วิสัชนา

วิสัชนา:

1. บริษัทฯ มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหาร ให้แก่กรรมการ หรือพนักงาน เพื่อไปควบคุมงานที่ของบริษัทฯที่ตั้งอยู่อีกแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด โดยจ่ายให้ในทุกๆ เดือน ที่ไปเป็นประจำ

    (1) รายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ ได้ เพราะเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ  

    (2) กรณีต้องบวกเป็นเงินได้ของกรรมการ หรือ พนักงานนั้นๆ ด้วย ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 ดังนี้

         "มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

               (1) ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าพาหนะ ซึ่งลูกจ้างหรือผู้รับหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะ ในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น 

         ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538

         "ข้อ 1 ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ลูกจ้างหรือผู้มีหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้รับเนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเข้าลักษณะดังนี้

               (1) ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น

               (2) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนดจ่ายให้แก่ข้าราชการ ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น โดยไม่ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินมาพิสูจน์

               (3) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม (2) และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เพียงเฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม (2)

         ข้อ 2 การเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามข้อ 1 ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสำนักงานหรือนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้ โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณีด้วย" 



 

2. บริษัทฯ มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ให้แก่พนักงาน บางคน เพื่อให้ทำงานประจำที่สำนักงานของบริษัท ที่อยู่ต่างจังหวัด ให้ในทุกๆ เดือน (ตามบิลเรียกเก็บ) ค่าใช้จ่ายดังกล่าว

    (1) รายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ ได้ เพราะเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ  

    (2) กรณีต้องบวกเป็นเงินได้ของพนักงานคนนั้นๆ ด้วย เพราะไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ไดรับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538



 

3. บริษัทฯ มีห้องพักที่เป็นของบริษัทฯ สร้างไว้ให้พนักงาน บางตำแหน่ง เพื่อพักอาศัย ในขณะ ที่ต้องทำงานประจำที่บริษัท ที่ต่างจังหวัด ค่าน้ำ/ไฟ คชจ.อันเกี่ยวกับ อาคารที่พัก ดังกล่าว

    (1) รายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ ได้ เพราะเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ  

    (2) กรณีต้องบวกเป็นเงินได้ของพนักงานคนนั้นๆ ด้วย ซึ่งกรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/2529 ดังนี้ 

         "ข้อ 1 กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้กำหนดมูลค่าจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ดังต่อไปนี้

               (1) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี

               (2) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มตามเกณฑ์ใน (1) เป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างแต่ละคน

               (3) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่าตาม (1) ไม่ว่าจะเป็นการโต้แย้งในชั้นการตรวจสอบไต่สวนหรือในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินค่าเช่าของบ้านนั้น ๆ ว่าสมควรให้เช่าได้ตามปกติปีละเท่าใด และให้ทำบันทึกการประเมินไว้เป็นหลักฐานแล้วรายงานขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพากร และใหถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผุ้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป

               (4) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (3) หลังเดียวอยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่ประเมินได้ตาม (3) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี และให้ถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป

               (5) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่าและเป็นบ้านที่นายจ้างได้ไปเช่าจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามค่าเช่าที่นายจ้างได้จ่ายไปจริง

               (6) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (5) อยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่นายจ้างได้จ่ายไปจริงตาม (5) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี"  


(http://www.rd.go.th/publish/3611.0.html)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"




หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ