Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

เงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร


เรื่อง เงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 17/09/2023 - วันที่ตอบ 17/09/2023
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อกฎหมาย มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา

ว่าด้วยเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ

วิสัชนา
ว่าด้วยเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ
1. แนวการตีความเกี่ยวกับการนำเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินไดในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเดิม 
    ตามมาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินตั้งแต่ปีภาษี พ.ศ. 2494 เป็นต้นไป ได้กำหนดหลักการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ ดังนี้ 
    "มาตรา 41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ 
         ผู้อยู่ในประเทศไทยมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย
         ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีปีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย"   
    เป็นที่ทราบกันโดยแพร่หลายเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เกี่ยวกับหลักการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศว่า มีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข พอสรุปความได้ดังนี้ 
    1.1 เป็นการกำหนดหลักการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตาม "หลักถิ่นที่อยู่" (Resident Rule) โดยผู้มีเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศที่จะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ต้อง "เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย" กล่าวคือ ต้องอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึง 180 วันในปีภาษี และ 
    1.2 ต้องเป็นผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ เนื่องจากการใดการหนึ่งดังนี้ 
          (1) หน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ เนื่องจากกิจการของนายจ้างในต่างประเทศ และ/หรือ
          (2) ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ และ/หรือ
          (3) กิจการที่ทำในต่างประเทศ 
          และ 
     1.3 ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้พึงประเมินที่ได้รับจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศดังกล่าวกลับเข้ามาในประเทศไทย ภายในปีภาษีเดียวกับปีที่เกิดเงินได้พึงประเมิน 
    การตีความเกี่ยวกับการนำเงินได้พึงประเมินกลับเข้ามาในประเทศไทย ตามเงื่อนไขดังกล่าว ก่อให้เกิด "ช่องโหว่" ของกฎหมาย (Tax Loophole) เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่เป็น "นักวางแผนภาษี" ที่จ้องหาสิทธิประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมาย เพียงนำเงินได้พึงประเมินเข้ามาต่างปีภาษีกันกับปีภาษีที่เกิดหรือที่ได้รับเงินได้พึงประเมิน ก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยแล้ว ย่อมสร้างความเสียหายให้แก่กรมสรรพากร ประเทศไทยเป็นอันมาก 
    แต่จะว่าไป การตีความในลักษณะดังกล่าว ก็เป็นการตีความของนักวางแผนภาษีอากรที่ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในกฎหมายภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรเป็นอย่างดีเยื่ยมในอดีตกาลในช่วงกึ่งทศวรรษที่ผ่านมานี่เอง

2. แนวการตีความเกี่ยวกับการนำเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ใหม่  
    นายลวรณ  แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 161/2566 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2566 โดยให้เริ่มใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่นำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป ดังนี้ 
    "เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนำผู้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ส่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
       ข้อ 1 บุคคลซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ที่มีเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ตามมาตรา 41  วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีดังกล่าว และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีใดก็ตาม ให้บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีงินได้ ตามมาตรา 48  แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย
       ข้อ 2 บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
       ข้อ 3 คำสั่งนี้ให้เริ่มใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่นำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป"  

3. ผลกระทบจากแนวทางการตีความเกี่ยวกับการนำเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินไดในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ใหม่ 
    3.1 การตีความบทบัญญัติมาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากความตามวรรคสองและวรรคสาม ของมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดไว้อย่างกว้าง ดังนี้ 
          "ผู้อยู่ในประเทศไทยมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย
          ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีปีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย"
    3.2 กรณีมิได้บัญญัติให้ชัดแจ้งว่า "เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย" ต้องเป็นการนำเข้ามาภายในปีภาษีเดียวกับปีที่เกิดเงินได้พึงประเมิน  
    3.3 แนวทางการตีความใหม่ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 161/2566 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2566 ที่กำหนดว่า "บุคคลซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ที่มีเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีดังกล่าว และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีใดก็ตาม ให้บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีงินได้ ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย" เป็นสิ่งที่นักวิชาการภาษีอากรได้เคยดำริกันมาตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพิ่งจะบรรลุผลสำเร็จในปี พ.ศ. 2566 นี้ 
    3.4 เป็นการอุดช่องโหว่ของกฎหมาย ตามหลักกฎหมายภาษีอากรที่ดีว่าด้วย "หลักประหยัด" หรือ "หลักประสิทธิภาพ" กล่าวคือ เสียค่าใช้จ่ายต่ำทั้งฝ่ายรัฐที่ต้องจัดเก็บภาษี และฝ่ายผู้เสียภาษีอากร รวมทั้ง ต้องหลีกเลี่ยงได้ยาก
    3.5 ในยุคที่กรมสรรพากรมีเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบได้โดยง่ายดายว่า มีการโอนเงินจากต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศไทย ตลอดจนกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงิน โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน - ปปง. ย่อมทำให้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างดี 
    3.6 คงเหลือเพียงวิธีเดียวที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลสำหรับเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศของ "ผู้อยู่ในประเทศไทย" ถึง 180 วัน ในปีภาษีที่เกิดเงินได้พึงประเมิน ก็ไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นกลับเข้ามาในประเทศไทย ในแีภาษีใดๆ เลย โดยนำไปใช้จ่ายหรือลงทุนในต่างประเทศต่อไป เว้นแต่จะเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
    3.7 การตีความดังกล่าว ย่อมก็ให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนตามหลักการขัดกันของหลักถิ่นทีอยู่ของประเทศไทย กับหลักแหล่งเงินได้ของอีกประเทศหนึ่ง ต้องเยียวยาด้วย อนุสัญญาภาษีซ้อนฯ หากเป็นแหล่งเงินได้จากประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อน ก็ต้องรับกรรมไปตามทาง
    3.8 สำหรับการนำเงินได้พึงประเมินเข้ามาในประเทศไทย ในปีภาษี พ.ศ. 2566 นั้น ยังคงใช้หลักเกณฑ์เดิม กล่าวคือ ต้องครบทั้งสามองค์ประกอบ จึงจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร
          แต่สำหรับการนำเงินได้พึงประเมินเข้ามาในประเทศไทย ในปีภาษี พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป นั้น ให้ใช้หลักเกณฑ์ใหม่ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 161/2566 ฯ กล่าวคือ หากครบองค์ประกอบเพียงสองประการ คือ เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วัน ในปีภาษีที่เกิดเงินได้พึงประเมินในต่างประเทศ กับนำเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีใดก็ตาม ก็ย่อมมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรทันที
    3.9 สำหรับผู้ที่มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันในปีภาษี ยังคงมีสามารถนำเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังเดิม ไม่ต้องหาทางหลบหลีกใดๆ เพียงมีหลักฐานพิสูจน์ว่า "มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย" ผ่านพาสปอร์ต และวีซ่า เท่านั้น 

4. บทสรุป 
    การกำหนดให้ผู้อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันในปีภาษีใด ที่ได้นำเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ หน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ไม่ว่าจะนำเข้ามาในในปีภาษีใดก็ตาม มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษีที่ได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย ถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามหลักภาษีอากรที่ดี อำนวยให้เกิดความเป็นธรรมในการเสียภาษีเงินได้ ช่วยเสริมให้การปราบปรามการฟอกเงินมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ