1. กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัทฯ ตั้งอยู่ในประเทศไทย และตกลงซื้อสินค้าจากบริษัทจากประเทศเบลเยี่ยมมาขาย โดยในสัญญากำหนดให้ บริษัทฯ ต้องจ่าย “Profit Sharing” ให้กับบริษัทผู้ขายสินค้าในอัตรา 15% จากกำไรขั้นต้น เช่นนี้ (1) “Profit Sharing” ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็น “รายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร (2) การจ่าย “Profit Sharing” ให้กับบริษัทผู้ขายสินค้าซึ่งตั้งอยู่ที่ประเบลเยี่ยม และไม่มีที่ทำการอยู่ในประเทศไทยนั้น เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และนำส่งพร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 แต่อย่างใด (3) บริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.36 ตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทแห่งประเทศเบลเยี่ยมมิได้มีการให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแก่บริษัทฯ แต่อย่างใด
2. กรณีบริษัทฯ จ่ายค่านายหน้าไปให้บริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย คำว่า "ซึ่งเป็นนายหน้าแห่งประเทศสิงคโปร์ดังกล่าว มิได้ประกอบกิจการโดยผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย" ข้อความในเครื่องหมายคำพูดดังกล่าว นั้น หมายความว่า (1) บริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์ไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย คำว่า “สถานประกอบการถาวร” ตาม “ข้อ 5 สถานประกอบการถาวร 1. เพื่อประโยชน์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายความว่าสถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
2. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะให้รวมถึง (ก) สถานจัดการ (ข) สาขา (ค) สำนักงาน (ง) โรงงาน (จ) โรงช่าง (ฉ) คลังสินค้า (ช) ที่ทำการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ และไร่สวน (ซ) เหมืองแร่ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นๆ ที่ใช้ในการขุดทรัพยากรธรรมชาติ (ฌ) บริเวณที่ตั้งอาคาร สิ่งปลูกสร้างโครงการติดตั้งหรือประกอบซึ่งมีอยู่เกินกว่าหกเดือน
3. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มิให้ถือว่ารวมถึง (ก) การใช้เครื่องอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ (ข) การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบ (ค) การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น เพียงเพื่อประโยชน์ที่จะให้วิสาหกิจอื่นใช้ในการแปรสภาพ (ง) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อประโยชน์ในการจัดซื้อของ หรือสินค้าหรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศเพื่อวิสาหกิจ (จ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อประโยชน์ในการโฆษณา การให้ข้อสนเทศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์หรือเพื่อกิจกรรมทำนองเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบของวิสาหกิจ
4. บุคคลที่ทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง นอกจากนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 5 ให้ถือว่า เป็นสถานประกอบการถาวรของรัฐแรกแต่ต้องมีเงื่อนไขว่า (ก) บุคคลนั้นมี และใช้อำนาจในการเจรจาและทำสัญญาเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่ในรัฐแรกนั้นเป็นปกติ เว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น หรือ (ข) บุคคลนั้นได้เก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นอยู่ในรัฐแรกนั้นเป็นปกติ และดำเนินการส่งมอบของหรือสินค้าจากมูลภัณฑ์นั้น เพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ หรือ (ค) บุคคลนั้นจัดหาคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในรัฐแรกนั้นอยู่เป็นปกติเพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้น และวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
5. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพียงเพราะว่าได้ติดต่อธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นโดยผ่านนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไปหรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าบุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำตามทางอันปกติแห่งธุรกิจของตนเพื่อความมุ่งประสงค์เช่นว่านี้ ไม่ให้ถือว่าตัวแทนผู้หนึ่งเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าตัวแทนผู้นั้นกระทำการในฐานะตัวแทนเฉพาะแต่ผู้เดียวหรือเกือบเฉพาะแต่ผู้เดียวเพื่อวิสาหกิจนั้น และดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่กำหนดไว้ในวรรค 4 ของข้อนี้
6. เพียงแต่ข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ควบคุมหรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง (2) บริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์มีสถานประกอบการถาวรในประทศไทย แต่การกระทำการเป็นนายหน้าตัวแทนของบริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์ดังกล่าว มิได้ประกอบกิจการผ่านสถานประกอบการถาวรในประทศไทย เนื่องจากกรณีที่บริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์ แม้จะมีสถานประกอบการถาวรในประทศไทย เช่น สำนักงานสาขาในประเทศไทย ก็ให้ถือว่า เป็นเอกเทศต่างหากจากกัน และถือเป็นหน่วยทางภาษีแยกต่างหากจากกัน (3) เนื่องจากค่านายหน้าตามอนุสัญญาภาษีซ้อนไทย – สิงคโปร์ เข้าลักษณะเป็น “กำไรธุรกิจ” (Business Profit) หากบริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์มิได้ประกอบกิจการโดยผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย ก็ย่อมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร บริษัทหรือผู้จ่ายเงินได้ค่านายหน้าไปให้บริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์ จึงไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร
Angsuvee XXXXX วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 18:24 น. อยากสอบถามกรณีข้อความด้านล่าง ที่ระบุว่า กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร หากบริษัท ซึ่งเป็นนายหน้าแห่งประเทศสิงคโปร์ดังกล่าว มิได้ประกอบกิจการโดยผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย กรณีบริษัทฯ จ่ายค่านายหน้าไปให้บริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย คำว่า "ซึ่งเป็นนายหน้าแห่งประเทศสิงคโปร์ดังกล่าว มิได้ประกอบกิจการโดยผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย" ข้อความในเครื่องหมายคำพูดดังกล่าวอันนี้ตีความยังไงคะ เช่น ไม่มีสาขา หรือตัวแทนจำหน่าย หรือโรงงานผลิต ภายใต้ชื่อบริษัทเดียวกันใช่หรือไม่คะ แต่หากเป็นชื่อบริษัทอื่น แต่มีผู้ถือหุ้นเหมือนกัน แบบนี้จะเข้าข่ายคำว่าประกอบกิจการโดยผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศไทยหรือไม่คะ
สุเทพ พงษ์พิทักษ์ วิสัชนา: กรณีบริษัทแห่งประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้ให้บริการนายหน้าตัวแทน โดยปฏิบัติงานในประเทศสิงคโปร์โดยเฉพาะ มิได้ประกอบกิจการผ่านสถานประกอบการ คือ โรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เช่นนี้ การที่บริษัทแห่งประเทสสิงคโปร์ได้รับค่านายหน้าจากคู่สัญญาที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ย่อมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ไทย - สิงค์โปร์ ประกอบกับมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 บริษัทฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากถือว่า เป็นคนละหน่วยภาษี (Tax Entity) ถูกต้องแล้วครับ
คุณ Angsuvee XXXXX วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 17:03 น. ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกไหมว่า และถ้าหากในกรณีนี้บริษัทมีสาขาที่ประเทศไทยก็ไม่เข้าข่ายยกเว้นภาษีเงินได้ใช่หรือไม่คะ หรือว่าหน่วยภาษีแยกออกจากกัน ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจาก Profit Sharing เช่นกัน แต่ถือว่าเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามที่อาจารย์ตอบข้างต้นค่ะ
สุเทพ พงษ์พิทักษ์ วิสัชนา: เนื่องจากประเทศไทย และประเทศเบลเยี่ยมมีอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างกัน แม้บริษัทแห่งประเทศเบลเยี่ยมจะมีสาขาหรือสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย หากมีหลักฐานโดยชัดแจ้งว่า บริษัทฯ ได้ติดต่อค้าขายโดยตรงกับสำนักงานใหญ่แห่งประเทศเบลเยี่ยม โดยไม่ผ่านสาขาหรือสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย ย่อมถือเป็นคนละหน่วยภาษีแยกต่างหากจากกัน บริษัทฯ ยังคงไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และนำส่งพร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 และไม่มีหน้าทีต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.36 ตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |