โดยความเคารพความเห็นของผู้ตอบคำถามใน RD Knowledge เลขที่ : 410030 ดังกล่าว โดยความเข้าใจส่วนตัว ผมกลับเห็นว่า แม้การรับรู้เงินได้พึงประเมิน โดยทั่วไปในกรณีที่ได้รับชำระราคาสินค้าหรือค่าบริการในทันที่ผู้มีเงินได้ได้ขายสินค้าหรือให้บริการ หรือภายหลังวันที่เกิดกิจกรรมดังกล่าว นั้น ท่านให้ใช้เกณฑ์เงินสด ตามนิยามศัพท์คำว่า “เงินได้พึงประเมิน” ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ “มาตรา 39 ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น “เงินได้พึงประเมิน" หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย” แต่ในการคำนวณหักต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารนั้น กรณีผู้มีเงินได้เลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามมาตรา 42 ตรี ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้ย่อมหักค่าใช้จ่ายเป็นอัตราร้อยละของจำนวนเงินได้พึงประเมิน ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยผู้มีเงินได้ไม่ต้องแสดงหลักฐานการจ่ายค่าใช้จ่าย ต่อเจ้าพนักงานประเมินเมื่อมีการตรวจสอบภาษีอากร กรณีผู้มีเงินได้เลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร หรือที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า ค่าใช้จ่ายจริง นั้น ตามมาตรา 4 ทวิ มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 และมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 กำหนดยอมให้หักได้สำหรับการคำนวณภาษีเงินได้จากเงินได้พึงประเมินบางประเภท ได้แก่ เงินได้ประเภทที่ 3 (เฉพาะที่เป็นค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น) เงินได้ประเภทที่ 5 (เฉพาะเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน) เงินได้ประเภทที่ 6 เงินได้จากการวิชาชีพอิสระ เงินได้ประเภทที่ 7 เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ และเงินได้ประเภทที่ 8 (บางรายการเงินได้) ซึ่งผู้มีเงินได้ต้องสามารถแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินและพิสูจน์ได้ว่า มีค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงตามจำนวนที่ได้เลือกหักไว้นั้น ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ใน การหักค่าใช้จ่ายเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้าตามหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ ปรากฏว่ามีรายจ่ายที่หักได้ตามกฎหมายน้อยกว่าอัตราค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ข้างต้น ก็ให้ถือว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงเท่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ ทั้งนี้ เกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ดังกล่าว ทั้งกรณีการคำนวณต้นทุนสินค้าหรือบริการที่ขายหรือให้บริการ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ เป็นเกณฑ์ที่ต้องใช้ตาม “เกณฑ์สิทธิ” เท่านั้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายที่จะนำหักต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่สัมพันธ์หรือเกี่ยวกับรายได้ ดังนั้น ในกรณีการคำนวณหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร แม้เงินได้พึงประเมินจะได้รับรู้ตามเกณฑ์เงินสดหรือเกณฑ์อื่นใดก็ตาม ค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินจำนวนนั้นต้องรับรู้ตาม “เกณฑ์สิทธิ” เท่านั้น (1) สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นต้นทุนให้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายตามหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้ (Matching Principle) กล่าวคือ ให้รับรู้ต้นทุนตามส่วนของเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในแต่ละปีภาษี ทั้งนี้ แม้ต้นทุนนั้นจะยังมิได้จ่ายไปก็ตาม สำหรับต้นทุนของเงินได้พึงประเมินที่ยังไม่ได้รับรู้ ให้ถือเป็นสินค้าคงเหลือไปก่อน แม้จะได้ขายสินค้าหรือให้บริการไปแล้วแต่เป็นการขายสินค้าหรือให้บริการเป็นเงินเชื่อ ซึ่งยังไม่ต้องรับรู้เป็นเงินได้พึงประเมิน และไม่ว่าต้นทุนของสินค้าหรือบริการในส่วนนี้จะได้จ่ายเงินไปแล้วหรือไม่ก็ตาม ในทางตรงกันข้าม แม้จะซื้อสินค้าด้วยเงินสด แต่ยังมิได้ขายสินค้านั้นออกไป หรือนำไปให้บริการ ก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะรับรู้เป็นต้นทุนสินค้าที่ขาย หรือบริการที่ให้ นั้น แต่อย่างใด (2) สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ให้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายของแต่ละปีภาษี ไม่ว่าค่าใช้จ่ายเหล่านั้น ผู้มีเงินได้จะได้จ่ายค่าใช้จ่ายนั้นไปแล้วหรือไม่ก็ตาม เช่น ค่าเช่าค้างจ่าย ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าโฆษณาค้างจ่าย เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า หรือค่าโฆษณาจ่ายล่วงหน้า ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของปีภาษีถัดไป ก็ย่อมไม่สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณเงินได้สุทธิได้ ทั้งนี้ กรณีตาม (1) และ (2) ดังกล่าว เป็นไปตามเกณฑ์สิทธิ ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 1/2528ฯ ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2528 โดยวิธีการดังกล่าว สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางบัญชีที่รับรองทั่วไป อันเป็นที่มาของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล กล่าวโดยสรุป แม้ว่าผู้มีเงินได้ต้องรับรู้เงินได้พึงประเมินตามเกณฑ์เงินสด ตามนิยามคำว่า “เงินได้พึงประเมิน” ที่ “ได้รับ” ในระหว่างปีภาษี แต่ในการคำนวณต้นทุนสินค้าที่ขายหรือบริการที่ให้ ให้รับรู้ต้นทุนตามส่วนของเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในแต่ละปีภาษี และสำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ให้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายของแต่ละปีภาษี ไม่ว่าค่าใช้จ่ายเหล่านั้น ผู้มีเงินได้จะได้จ่ายค่าใช้จ่ายนั้นไปแล้วหรือไม่ก็ตาม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ |