Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

การยื่นภาษีบุคคลธรรมดาที่ขายที่ดินที่ไม่ใช่ที่ดินมรดก / บุคคลธรรมดามีรายได้ขายเศษเหล็ก 3 ล้านบาท
เรื่อง | การยื่นภาษีบุคคลธรรมดาที่ขายที่ดินที่ไม่ใช่ที่ดินมรดก / บุคคลธรรมดามีรายได้ขายเศษเหล็ก 3 ล้านบาท |
แหล่งที่มา | Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ |
วันที่ | วันที่ถาม 16/04/2023 - วันที่ตอบ 17/04/2023 |
ประเภทภาษี | ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีมูลค่าเพิ่ม,ภาษีธุรกิจเฉพาะ |
ข้อกฎหมาย | มาตรา 48 (4) ประกอบมาตรา 50 (5) แห่งประมวลรัษฎากร, มาตรา 86/4, มาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร |
ปุจฉา | 1. หนูรบกวนสอบถาม เรื่อง การยื่นภาษีบุคคลธรรมดาที่ขายที่ดินที่ไม่ใช่ที่ดินมรดก ในกรณีใดบ้างที่สามารถไม่ต้องนำมาคำนวณรวมกับรายได้อื่น แล้วขายที่ดินจำเป็นต้องยื่นแสดงรายได้ทุกแปลงหรือไม่ค่ะ พอดีหนูเข้ามาทำบัญชีให้กับเจ้านายที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค่ะ |
วิสัชนา | 1. กรณีบุคคลธรรมดาขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นที่มิใช่โดยทางมรดก แบ่งเป็น 1.1 การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร อาทิ (1) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการรับให้โดยเสน่หา (2) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยน (3) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ได้มาเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย (4) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาหรือได้มาเพื่อใช้เป็นสถานประกอบการ สำหรับการประกอบกิจการขายสินค้า การให้บริการ การผลิตสินค้า การเก็บรักษาสินค้า (5) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาหรือได้มาเพื่อทำการเกษตรกรรม (6) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการรับซื้อฝากที่ผู้ขายฝากไม่มาไถ่ถอนภานในกำหนดเวลา (7) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการครอบครองปรปักษ์ ( 8 ) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการบังคับจำนอง (9) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการรับชำระหนี้ (10) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการคืนทุนหรือความเป็นหุ้นส่วน (11) การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการอื่นใดที่มิใช่เป็นการได้มาโดยการมุ่งค้าหรือหากำไร เป็นต้น 1.2 การขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร อาทิ (1) การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการจัดสรรที่ดิน (2) การขายห้องชุดของผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นผู้ขอจดทะเบียนอาคารชุด ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด (3) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อขาย เช่น (ก) การขายอาคารพาณิชย์ที่สร้างขึ้นเพื่อขาย (ข) การขายบ้านทาวน์เฮ้าส์ที่สร้างขึ้นเพื่อขาย (ค) การขายอาคารสำนักงานที่สร้างขึ้นเพื่อขาย (ง) การขายคลังสินค้าที่สร้างขึ้นเพื่อขาย (จ) การขายอาคารโรงงานที่สร้างขึ้นเพื่อขาย เป็นต้น (4) การขายอสังหาริมทรัพย์เฉพาะกรณีที่มีการแบ่งขาย หรือมีการแบ่งแยกไว้เพื่อขาย โดยได้จัดทำถนนหรือสิ่ง สาธารณูปโภคอื่น หรือให้คำมั่นว่าจะจัดให้มีสิ่งดังกล่าว (5) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาเพื่อเก็งกำไรหรือเพื่อหากำไร (6) การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบอาชีพค้าอสังหาริมทรัพย์เป็นปกติธุระ เป็นต้น 1.3 การเสียภาษีเงินได้โดยถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 48 (4) ประกอบมาตรา 50 (5) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ดังนี้ (1) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางมรดกหรือจากการรับให้โดยเสน่หา ให้ผู้ซื้อคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 48 (4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ในขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ดังนี้ (ก) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางมรดกหรือที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้ เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดคูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย สำหรับราคาขายอสังหาริมทรัพย์ นั้น เจ้าพนักงานประเมินจะได้กำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์นั้น โดยถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น (ข) คำว่า "จำนวนปีที่ถือครอง" หมายถึง จำนวนปีนับตั้งแต่ปีที่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ถึงปีที่โอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าเกินสิบปีให้นับเพียงสิบปี และเศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี (2) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจากกรณีตาม (1) ไม่ว่าจะได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร หรือได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ให้ผู้ซื้อคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 48 (4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร เหมือนกัน ในขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ดังนี้ (ก) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจากกรณีตาม (1) ให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ 165) พ.ศ. 2529 เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิ แล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครองได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย สำหรับราคาขายอสังหาริมทรัพย์ นั้น เจ้าพนักงานประเมินจะได้กำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์นั้น โดยถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร นั้น หากจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายมีจำนวนเกินกว่า 20% ของราคาขาย ให้คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเพียง 20% ของราคาขาย เท่านั้น (ข) คำว่า "จำนวนปีที่ถือครอง" หมายถึง จำนวนปีนับตั้งแต่ปีที่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ถึงปีที่โอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าเกินสิบปีให้นับเพียงสิบปี และเศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี 1.4 การเลือกเสียภาษีเงินได้เท่าที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย (1) เฉพาะเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางมรดก หรือที่ได้จากการรับให้โดยเสน่หา หรือที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรเท่านั้น ที่ผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้เท่าที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายในขณะที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายที่ดิน (Final Tax) (2) สำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร จะไม่ได้รับสิทธิการเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดังกล่าว ต้องนำเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่น โดยต้องหักค่าใช้จ่ายจริง หรือค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรเท่านั้น โดยให้นำจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายไปถือเป็นเครดิตหักออกจากภาษีเงินได้ที่ต้องชำระตามแบบ ภ.ง.ด.94 และหรือแบบ ภ.ง.ด.90 1.5 การเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541 กำหนดให้การขายอสังหาริมทรัพย์เฉพาะที่ต้องจดทะเบียนสิทธิและ นิติกรรมดังต่อไปนี้ เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร “มาตรา 4 ให้การขายอสังหาริมทรัพย์เฉพาะที่ต้องจดทะเบียนสิทธิและ นิติกรรมดังต่อไปนี้ เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร (1) การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการจัดสรรที่ดิน (2) การขายห้องชุดของผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นผู้ขอจดทะเบียนอาคารชุด ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด (3) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อขาย รวมถึงการ ขายที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารดังกล่าว (4) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตาม (1) (2) หรือ (3) เฉพาะกรณีที่มีการแบ่งขายหรือมีการแบ่งแยกไว้เพื่อขาย โดยได้จัดทำถนนหรือสิ่ง สาธารณูปโภคอื่น หรือให้คำมั่นว่าจะจัดให้มีสิ่งดังกล่าว (5) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการเฉพาะของ นิติบุคคลตามมาตรา 77/1 แห่งประมวลรัษฎากร (6) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (5) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น เว้นแต่ (ก) การขายหรือการถูกเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืน อสังหาริมทรัพย์ (ข) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางมรดก (ค) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยอันเป็นแหล่ง สำคัญที่ผู้ขายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรเป็นเวลา ไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น ในกรณีที่ที่ดินและอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างตาม (ค) ได้มาไม่พร้อมกัน กำหนดเวลาห้าปีตามความใน (6) ให้ถือตามระยะเวลาการได้มาซึ่งที่ดินหรืออาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างที่ได้มาภายหลัง (ง) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดย ไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายของตน แต่ไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม (จ) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ทาง มรดกให้แก่ทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม (ฉ) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐบาลตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากรโดย ไม่มีค่าตอบแทน (ช) การแลกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ กับส่วนราชการหรือองค์การของรัฐบาลตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะใน กรณีที่ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐบาลนั้นมิได้มีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นอย่างอื่น นอกจากอสังหาริมทรัพย์ที่แลกเปลี่ยนนั้น” 2. กรณี “หนู” รวบรวมเศษเหล็กแล้วนำไปขายร้านค้าของเก่า ขายในนามบุคคลธรรมดา รวมๆ แล้วได้ประมาณ 3 ล้านบาทต่อปี “หนู” ต้องนำเงินได้จากการขายเศษเหล็ก ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไปยื่นรายการและเสียภาษีอากรต่างๆ ดังนี้ 2.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี สำหรับเงินได้จากการขายเศษเหล็กระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน ของปีภาษี นำไปยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 ภายในเดือนกันยายนของปีภาษีนั้น โดยคำนวณหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 60% ของเงินได้ หรือจะเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรตามหลักฐานที่จ่ายจริง ตามเงื่อนไขตามมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร คงเหลือเท่าใดให้หักค่าลดหย่อนกึ่งหนึ่งของค่าลดหย่อนประจำปี ตามมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร คงเหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ นำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้สุทธิในส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท แล้วนำไปเปรียบเทียบกับจำนวนภาษีเงินได้ที่คำนวณจากเงินได้พึงประเมินที่มีจำนวนเกินกว่า 1 ล้านบาท ภาษีจำนวนใดสูงกว่าให้เสียตามจำนวนนั้น ภาษีเงินได้ที่เสียดังกล่าว ให้นำไปถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้ประจำปีต่อไป กรณีมีจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องเสียตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ให้ผ่อนชำระได้ 3 งวดเท่าๆ กัน เดือนละงวดติดต่อกัน 2.2 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี สำหรับเงินได้จากการขายเศษเหล็กระหว่างเดือนมกราคม – ธันวาคม ของปีภาษี นำไปยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป โดยคำนวณหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 60% ของเงินได้ หรือจะเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรตามหลักฐานที่จ่ายจริง ตามเงื่อนไขตามมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร คงเหลือเท่าใดให้หักค่าลดหย่อนประจำปี ตามมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร คงเหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ นำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้สุทธิในส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท แล้วนำไปเปรียบเทียบกับจำนวนภาษีเงินได้ที่คำนวณจากเงินได้พึงประเมินที่มีจำนวนเกินกว่า 1 ล้านบาท ภาษีจำนวนใดสูงกว่าให้เสียตามจำนวนนั้น แล้วหักด้วยจำนวนภาษีเงินได้ครึ่งปีที่ชำระไว้แล้วตามแบบ ภ.ง.ด.94 คงเหลือเท่าใดให้เสียเพิ่มเติม กรณีมีจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องเสียตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ให้ผ่อนชำระได้ 3 งวดเท่าๆ กัน เดือนละงวดติดต่อกัน 2.3 เนื่องจาก “หนู” มีรายได้จากการขายเศษเหล็กเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ของราคาเศษเหล็ก โดยบวกเพิ่มราคาขึ้นไป สำหรับรายได้ในส่วนที่เกิน 1.8 ล้านบาท โดยต้องปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้ (1) จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาท ถือเป็น “ผู้ประกอบการจดทะเบียน” (2) ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ที่มีรายการครบถ้วนตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ในทุกครั้งที่ขายเศษเหล็ก เพื่อเรียกเก็บภาษาย และส่งมอบต้นฉบับใบกำกับภาษีดังกล่าวให้ผู้รับซื้อเศษเหล็กที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนนำไปใช้เป็น “ภาษีซื้อ” ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไป (3) จัดทำรายงานภาษีขาย จากสำเนาใบกำกับภาษีที่ออกให้แก่ผู้รับซื้อเศษเหล็ก รายงานภาษีซื่อ และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันทำการ (4) คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือนภาษี จากยอดภาษีขาย หักด้วยภาษีซื้อ (ถ้ามี) เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสีย (5) ยื่นแบบ ภ.พ.30 เป็นรายเดือนภาษี ไม่ว่าจะมีรายได้จากการประกอบกิจการหรือไม่ก็ตาม ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (6) ให้ความร่วมมือกับทางราชการในการตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีมูลค่าเพิ่ม ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ |