ตามมาตรา 74 (1)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร “มาตรา 74 ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกัน หรือควบเข้ากันกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่น การคำนวณกำไรสุทธิเพื่อคำนวณภาษีให้เป็นไปตามวิธีการในมาตรา 65 มาตรา 65 ทวิ และ มาตรา 66 เว้นแต่ (1) การตีราคาทรัพย์สิน (ก) ในกรณีที่เลิกบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ตีตามราคาตลาดในวันเลิก (ข) ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบเข้ากัน ให้ตีตามราคาตลาดในวันที่ควบเข้ากัน แต่ไม่ให้ถือว่าราคาดังกล่าวเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมอันได้ควบเข้ากันนั้น และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันได้ควบเข้ากันถือราคาของทรัพย์สินนั้นตามราคาที่ปรากฏในบัญชีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมในวันที่ควบเข้ากันเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิจนกว่าจะได้มีการจำหน่ายทรัพย์สินนั้นไป ทรัพย์สินรายการใดมีสิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาก็ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมใช้อยู่เพียงเท่าที่ระยะเวลาและมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่สำหรับทรัพย์สินนั้นเท่านั้น และห้ามมิให้นำผลขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ (ค) ในกรณีที่มีการโอนกิจการระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลด้วยกัน โดยที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้โอนกิจการต้องจดทะเบียนเลิก และมีการชำระบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนกิจการนั้น ให้ตีตามราคาตลาดในวันที่จดทะเบียนเลิก และให้นำความใน (ข) มาใช้บังคับโดยอนุโลม”
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า กรณีบริษัทจดทะเบียนควบโอนกิจการ จาก 7 บริษัท เป็น 1 บริษัท (นิติบุคคลใหม่) ซึ่งเดิม 7 บริษัท ก่อนควบรวม เดิมใช้ราคาทุนตามวิธี FIFO ส่วนบริษัทใหม่หลังจากควบรวมแล้วเสร็จ เกิดนิติบุคคลใหม่ เปลี่ยนวิธีการคำนวณต้นทุนจาก FIFO เป็น Weighted Average การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ของบริษัทใหม่ที่รับโอนสินค้า พิจารณาเห็นว่า ไม่ต้องดำเนินการขออนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร เนื่องจากการควบเข้ากันของบริษัททั้ง 7 บริษัท รวมเป็นหนึ่งบริษัท นั้น 1. วิธีการตีราคาสินค้าคงเหลือ ตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นหลักเกณฑ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการควบรวมกิจการทั้ง 7 เข้าด้วยกันแล้ว จึงย่อมเป็นสิทธิของบริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันที่จะเลือกวิธีการที่เหมาะสมของตนเองได้ 2. ตามมาตรา 74 (1)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้บริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันถือราคาของทรัพย์สินนั้นตามราคาที่ปรากฏในบัญชีของบริษัทเดิมในวันที่ควบเข้ากันเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิจนกว่าจะได้มีการจำหน่ายทรัพย์สินนั้นไป ทรัพย์สินรายการใดมีสิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาก็ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่บริษัทเดิมใช้อยู่เพียงเท่าที่ระยะเวลาและมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่สำหรับทรัพย์สินนั้นเท่านั้น มิได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาทุนสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแต่อย่างใด บริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันจึงย่อมมีอิสระในการคำนวณราคาทุนของสินค้าของตนได้ เพราะเป็นคนละนิติบุคคล และเป็นคนละหน่วยทางภาษีต่างหากจากกัน 3. หากทั้ง 7 บริษัทเดิม มีวิธีการคำนวณราคาทุนแตกต่างกัน จะปฏิบัติอย่างไร หากต้องยึดถือวิธีการตีราคาสินค้าคงเหลือตามที่บริษัทเดิมได้ดำเนินการไว้ ดังนั้น เมื่อไม่มีข้อกำหนดให้บริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันต้องดำเนินการดังเช่นกรณีตามมาตรา 74 (1)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จึงย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของบริษัทใหม่ดังกล่าวในอันที่จะตีราคาสินค้าคงเหลือของตนได้โดยอิสระ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |