Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

เงินได้ดอกเบี้ยกับการเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร


เรื่อง เงินได้ดอกเบี้ยกับการเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 07/05/2025 - วันที่ตอบ 08/05/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อกฎหมาย มาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา
ขอสอบถามอาจารย์ เรื่อง การเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร ค่ะ 
    ในกรณีที่เลือกนำเงินได้ดอกเบี้ยมารวมคำนวณภาษีกับเงินได้ประเภทอื่น จะต้องนำดอกเบี้ยที่ไม่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากบัญชีปลอดภาษี ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ยังไม่ถูกธนาคารหักภาษีเงินได้ ณ ทึ่จ่ายไว้ เป็นต้น มารวมกับเงินได้ประเภทอื่นและเงินได้ดอกเบี้ยที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ทึ่จ่ายไว้แล้ว เป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อคำนวณภาษีเงินได้ด้วยหรือไม่คะ
วิสัชนา
1. ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 80 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90 ตามมาตรา 48 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ได้ สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ก) และ (ช) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้ 
    1.1 เงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ก) แห่งประมวลรัษฎการ ดังนี้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 48 (3) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร  
          (1) ดอกเบี้ยพันธบัตร 
          (2) ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร 
          (3) ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ 
          (4) ดอกเบี้ยหุ้นกู้ 
          (5) ดอกเบี้ยตั๋วเงินที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น 
          (6) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น 
          (7) ดอกเบี้ยที่ได้จากสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม   
    1.2 เงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ก) แห่งประมวลรัษฎการ ที่เป็น ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้ ตามมาตรา 48 (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร 
    1.3 ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนพันธบัตร หุ้นกู้ หรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้ เฉพาะที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ทั้งนี้ ตามมาตรา 48 (3) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร 
    1.4 ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยจะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตามมาตรา 48 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ได้ สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ทั้งนี้ ตามมาตรา 48 (3) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร  

2. ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 19/2533 เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การเลือกเสียภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ฯลฯ ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533 คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอการ ได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการเลือกเสียภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ฯลฯ ดังนี้ 
    "...บทบัญญัติมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎษกรที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ฯลฯ มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นก็ได้นั้น ก็โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ดังกล่าว ที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ดังกล่าวสูงกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ ในกรณีที่ผู้มีเงินได้พิจารณาเห็นว่ามีภาระภาษีที่ต้องเสียสำหรับปีภาษีนั้นน้อยกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ผู้มีเงินได้ก็มีสิทธินำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นเพื่อขอรับเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้นั้นคืนได้ นอกจากนั้นการใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในกรณีดังกล่าวก็ไม่มีกฎหมายกำหนดเวลาการใช้สิทธิหรือห้ามการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิไว้ และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิดังกล่าวก็เป็นการปฏิบัติทำนองเดียวกับกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไปผู้มีเงินได้ก็สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมให้ถูกต้อง โดยการชำระภาษีเพิ่มเติมหรือขอภาษีคืนแล้วแต่กรณีได้อยู่แล้ว ดังนั้น กรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นโดยนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น อันทำให้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงกว่าการไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นนั้น จึงเป็นการกระทำโดยสำคัญผิดเมื่อผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นใหม่โดยไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น จึงเป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์ที่จะพึงได้แต่อย่างใด" 

3. เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42 (8) แห่งประมวลรัษฎากร และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้ 
    3.1 ดอกเบี้ยสลากออมสิน (ไม่จำกัดจำนวน) 
    3.2 ดอกเบี้ยเงินฝากออมสินของรัฐบาลเฉพาะประเภทฝากเผื่อเรียก (ไม่จำกัดจำนวน) 
    3.3 ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ที่ได้รับจากสหกรณ์ (ไม่จำกัดจำนวน) 
    3.4 ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยดังกล่าวในจำนวนรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาทตลอดปีภาษีนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด  
(ดู พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 301) พ.ศ. 2539 ประกอบ)
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 55) ประกอบ)
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 64) ประกอบ)
(ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 346) ประกอบ)
4. สิทธิในการเลือกเสียภาษี กรณีมีเงินได้จากดอกเบี้ยเงินฝากและเงินปันผล
    กรมสรรพากรได้ประกาศให้ทราบตามข่าวทั่วไป ลงวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551 ดังนี้  
    "ผู้มีเงินได้ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90, 91 เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีสิทธิเลือกนำดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร หรือเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฏหมายไทย โดยไม่ต้องนำเงินได้ประเภทดังกล่าวในรวมคำนวณภาษีกับเงินได้ประเภทอื่น และใช้สิทธิในการเลือกให้ถูกต้อง
    นางไพฑูรย์ พงษ์เกษร เลขานุการกรม ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้มีเงินได้บางรายใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่เป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร หรือเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยไม่ถูกต้องกล่าวคือ ได้เลือกนำดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรเฉพาะบางบัญชีหรือเงินปันผลเฉพาะบางบริษัทมาใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้โดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อย่างอื่นและขณะเดียวกันก็นำดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรอีกบางบัญชีหรือเงินปันผลอีกบางบริษัทไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อย่างอื่นเพื่อขอคืนภาษีเงินได้
    จึงขอชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกันว่า กรณีการใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฏากร โดยเฉพาะผู้มีเงินได้จากดอกเบี้ยจะต้องนำดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรทุกบัญชีมาใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ จะเลือกนำเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรบางบัญชีมาใช้สิทธิเลือกเสียภาษีไม่ได้ และสำหรับผู้มีเงินได้จากเงินปันผลก็จะต้องนำเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฏหมายไทยที่ได้รับทั้งสิ้นในปีนั้น มาใช้สิทธิเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ จะเลือกนำเฉพาะเงินปันผลบางบริษัทมาใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้ไม่ได้เช่นกัน โฆษกกรมสรรพากร กล่าวในที่สุด" 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า 
เกี่ยวกับการเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร  
1. ในการเลือกนำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นดอกเบี้ยที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามมตรา 50 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร มารวมคำนวณภาษีกับเงินได้ประเภทอื่น ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำดอกเบี้ยที่ได้รัยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเด็ดขาด ดังต่อไปนี้ เป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อคำนวณภาษีเงินได้ด้วย แต่อย่างใด 
    1.1 ดอกเบี้ยสลากออมสิน (ไม่จำกัดจำนวน) 
    1.2 ดอกเบี้ยเงินฝากออมสินของรัฐบาลเฉพาะประเภทฝากเผื่อเรียก (ไม่จำกัดจำนวน) 
    1.3 ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ที่ได้รับจากสหกรณ์ (ไม่จำกัดจำนวน) 
    1.4 ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยดังกล่าวในจำนวนรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาทตลอดปีภาษีนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด    

2. สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยดังกล่าวในจำนวนรวมกันทั้งสิ้นเกิน 20,000 บาทตลอดปีภาษีนั้น ซึ่งไม่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เนื่องจากในแต่ละบัญชีมีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษี ซึ่งผู้มีเงินได้ไม่ได้รับยกเง้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับเงินได้ประเภทอื่นและเงินได้ดอกเบี้ยที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ทึ่จ่ายไว้แล้ว



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ