1. กรณีผู้ประกอบการประกอบกิจการรับจ้างขนส่งสินค้าหรือสิ่งของโดยรับขนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยไม่ได้มีการให้บริการอื่นใดอีกในการรับขนดังกล่าว ในประกอบกิจการรับจ้างขนส่งสินค้าต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะการให้บริการขนส่งสินค้า อาทิ (1) รับจ้างขนส่งสิ่งของ โดยรับขนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งภายในประเทศตามที่ผู้ว่าจ้างได้ตกลงว่าจ้าง (2) รับจ้างขนขนย้ายจากรถยนต์ไปส่งตามที่ผู้ว่าจ้างได้ตกลงว่าจ้าง (3) การรับจ้างขนส่งสินค้าดังกล่าว ผู้ประกอบการเป็นผู้จัดหาเครื่องขนย้ายอุปกรณ์การขนส่งและพนักงาน เช่นนี้ แม้จะมิได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการรับจ้างขนส่ง แต่ตามพฤติการณ์ได้ประกอบการรับจ้างขนส่งสินค้าอยู่เป็นปกติ ก็ย่อมถือเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0 สำหรับการจ่ายเงินได้ตามสัญญารายหนึ่ง ๆ มีจำนวนตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป แม้การจ่ายนั้นจะได้แบ่งจ่ายครั้งหนึ่งๆ ไม่ถึงหนึ่งพันบาท ตามข้อ 12/4 และข้อ 12/5 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 และเนื่องจาก เป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร ผู้ประกอบการจึงได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1)(ณ) แห่งประมวลรัษฎากร และไม่มีสิทธิแจ้งขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/3 แห่งประมวลรัษฎากร (อนุโลมตามหนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/2244 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เรื่อง ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการขนส่ง และขนถ่ายสินค้าและอุปกรณ์) ตังอย่างการการประกอบกิจการับจ้างขนส่งในราชอาณาจักร (1) การประกอบกิจการขนส่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ภายในประเทศโดยใช้รถยนต์บรรทุกในการขนส่งสินค้าจากบริษัทผู้ว่าจ้าง ณ โรงงานที่ผลิตหรือสถานที่ที่ผู้ว่าจ้างกำหนดไปยังสถานที่ของลูกค้า ไม่ว่าบริษัทผู้ว่าจ้างหรือลูกค้าของบริษัทผู้ว่าจ้างเป็นผู้ดำเนินการขนสินค้าขึ้นและขนส่งสินค้าลงจากรถบรรทุกเองหรือไม่ก็ตาม (2) การรับจ้างจัดหารถบรรทุกมาขนสินค้าของผู้ว่าจ้าง ไปยังด่านศุลกากรจังหวัดที่ส่งสินค้าออก และลำเลียงสินค้าจากโกดังพักสินค้าไปขึ้นเรือเล็กที่ผู้ซื้อสินค้าจัดหามาเพื่อรอนำสินค้าผ่านศุลกากร และส่งมอบให้ผู้ซื้อโดยผู้ซื้อจะจัดหาเรือใหญ่มาขนถ่ายสินค้าจากเรือเล็กขึ้นเรือใหญ่ (3) การประกอบการรับขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือ โดยขนสินค้าจากท่าเรือมาโกดัง และจากโกดังไปที่ท่าเรือโดยใช้สายพาน หรือวิธีใช้คนขน หรือใช้รถตัก ไม่ว่าผู้ให้บริการรับจ้างขนส่งดังกล่าว จะได้จดทะเบียนขนส่งหรือไม่ก็ตาม (4) การประกอบกิจการขนส่งโดยรถบรรทุก ไม่ว่าจะจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกหรือไม่ และไม่ว่าจะมีรถบรรทุกของตนเอง หรือว่าจ้างรถบรรทุกมาใช้ในการขนส่งสินค้าของลูกค้าเป็นครั้งคราว (5) การประกอบกิจการรับ-ส่งเอกสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยจักรยานยนต์ โดยคำสั่งของผู้ว่าจ้างซึ่งมีทั้งเรียกใช้ชั่วคราวและประจำเดือน (6) การขนส่งสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ จากโรงพิมพ์ไปยังสำนักงานของผู้จัดส่งในแต่ละภาคหรือเขตพื้นที่ตามที่กำหนดไว้ โดยคิดค่าขนส่งตามน้ำหนักของสมุดโทรศัพท์กรณีหนึ่ง และให้ทำการจัดส่งสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ จากโรงพิมพ์ไปให้แก่ผู้ใช้โทรศัพท์ตามบ้านหรือสำนักในภาค หรือเขตต่างๆ โดยคิดค่าจัดส่งตามจำนวนเล่มของสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ (7) การประกอบกิจการขนส่งโดยรถยนต์โดยสารรับจ้างไม่ประจำทางกับกรมการขนส่งทางบก ได้ให้บริการขนส่งพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งทุกวันเว้นวันอาทิตย์ ตามวัน เวลา และเส้นทางที่กำหนดกันไว้แน่นอน โดยคิดค่าจ้างเป็นรายเดือน (8) การประกอบกิจการใช้รถยนต์ตู้วิ่งรับจ้างทั่วไปตามสถานที่ และเส้นทางที่ ผู้ว่าจ้างกำหนด โดยผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาพนักงานขับรถให้ และคิดค่าบริการในแต่ละครั้งที่ว่าจ้าง และการประกอบกิจการใช้รถยนต์ตู้รับส่งพนักงานของบริษัทผู้ว่าจ้าง โดยรถยนต์ตู้จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเป็นประจำ มีสถานที่รับส่งที่แน่นอน โดยผู้รับจ้างจะคิดค่าบริการจากผู้ว่าจ้างเป็นรายเดือน (9) การให้บริการโดยรถเครนยกตู้สินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง (10) ผู้ประกอบการขนส่งในรูปบริษัทจำกัด มีใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคล รับจ้างขนย้ายสิ่งของของลูกค้าไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งดังกล่าว อาจกระทำการขนส่งเองหรือว่าจ้างบุคคลอื่นให้ทำการขนส่งสินค้าอีกทอดหนึ่ง โดยตกลงจ่ายค่าขนส่งตามระยะทาง (11) การประกอบกิจการรับขนสินค้าขึ้น-ลงจากเรือสินค้าต่างประเทศ พร้อมทั้งตรวจนับสินค้าว่าครบตามจำนวนที่ผู้ว่าจ้างขนส่งระบุไว้ว่าครบถ้วนหรือไม่ (12) การประกอบกิจการรับจ้างเหมารถรับส่งพนักงานและสิ่งของ โดยผู้รับจ้างจะนำรถที่ซื้อใหม่ พร้อมจัดให้มีพนักงานขับรถทำการรับส่งพนักงานและสิ่งของของผู้ว่าจ้าง ตามสถานที่และเส้นทางที่ผู้ว่าจ้าง หรือพนักงานของผู้ว่าจ้างจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า (13) การประกอบกิจการรับขนถ่ายแป้งมัน โดยรับขนถ่ายช่วงจากบริษัทอื่น ซึ่งมีทุ่นลอยน้ำอยู่ระหว่างเรือสินค้าต่างประเทศและเรือโป๊ะบรรทุกแป้งมัน โดยบนทุ่นลอยน้ำดังกล่าวจะมีท่อดูดแป้งมันจากเรือโป๊ะส่งผ่านท่อไประหว่างเรือสินค้าต่างประเทศในลักษณะกองแป้งมันไว้ จากนั้นผู้รับจ้างขนถ่ายจะทำการขนถ่ายแป้งมัน โดยใช้เครื่องมือเป็นรถดันแป้งมันเข้าไปในระวางเรือให้เต็มระวางเรือที่บรรทุก และหากมีเศษเหลือจะใช้คนงานของบริษัทฯ ใช้พลั่วตักแป้งมันเข้าไปในระวางเรือจนเต็มพื้นที่ในระวางเรือ (14) การประกอบกิจการขนถ่ายสินค้าจากเรือเดินสมุทรเข้าเก็บในโรงพักสินค้า และขนถ่ายจากท่าเรือลงเรือเดินสมุทร โดยใช้เครื่องทุ่นแรง และแรงงานกรรมกร หรือโดยใช้รถเครนขนย้ายตู้บรรจุสินค้า (คอนเทนเนอร์) หรือใช้รถบรรทุกสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ตามความต้องการของผู้ส่ง (15) การประกอบกิจการรับจ้างขนยกหรือลากจูงรถจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยผู้รับจ้าง ไม่มีอู่ซ่อมรถ เพียงแต่ขนย้ายหรือลากรถไปส่งให้ตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างเท่านั้น (16) การให้บริการยกเคลื่อนย้ายสิ่งของ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยรถเครน รถเครนตีนตะขาบ และรถเทลเลอร์ ในการปฏิบัติงานผู้รับจ้างจะใช้รถเครน เคลื่อนย้ายบรรดาวัสดุก่อสร้างต่างๆ อาทิ แผ่นเหล็ก เสาเข็ม ไปวางหรือกองไว้ ณ จุดที่ผู้ว่าจ้างจะกำหนด โดยมิได้ให้บริการอย่างอื่น กรณีรถเทลเลอร์จะนำไปขนของจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่หนึ่งตามที่ผู้ว่าจ้างจะกำหนด โดยผู้รับจ้างจะนำรถพร้อมพนักงานขับรถไปยังสถานที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ตามระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 1 เดือน 3 เดือน) จนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งผู้รับจ้างจะคิดค่าบริการตามจำนวนวันที่ได้ไปให้บริการ พร้อมทั้งเรียกเก็บค่าน้ำมัน ค่าจ้างคนขับ (ในกรณีผู้รับจ้างต้องว่าจ้างคนขับจากที่อื่น) จากผู้ว่าจ้างโดยผู้รับจ้างจะต้องรับผิดชอบต่อบรรดาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกและผู้ว่าจ้าง (17) การประกอบกิจการรับขนส่งสินค้า โดยมีสัญญารับขนสินค้ากับโรงงานผู้ผลิตสินค้า เพื่อนำสินค้าไปส่งตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดให้ไปส่ง โดยผู้รับจ้างขนส่งได้ตกลงกับเจ้าของรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ให้นำรถยนต์มาทำการขนส่งอีกทอดหนึ่ง แต่ความรับผิดชอบในความชำรุดเสียหายในสินค้านั้น ผู้รับจ้างขนส่งต้องรับผิดชอบตามสัญญารับจ้างขนส่งต่อเจ้าของสินค้า 2. ตามมาตรา 608 มาตรา 610 มาตรา 617 และมาตรา 618 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า “มาตรา 608 อันว่าผู้ขนส่งภายในความหมายแห่งกฎหมายลักษณะนี้คือบุคคล ผู้รับขนส่งของหรือคนโดยสารเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติของตน มาตรา 610 อันบุคคลผู้ทำความตกลงกับผู้ขนส่งเพื่อให้ขนของส่งไปนั้น เรียกว่าผู้ส่ง หรือผู้ตราส่ง บุคคลผู้ซึ่งเขาส่งของไปถึงนั้น เรียกว่าผู้รับตราส่ง บำเหน็จอันจะต้องจ่ายให้เพื่อการขนส่งของนั้น เรียกว่าค่าระวางพาหนะการขนส่งหลายคนหลายทอด มาตรา 617 ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งชักช้าอันเกิดแต่ความผิดของผู้ขนส่งคนอื่น หรือบุคคลอื่นซึ่งตนหากได้มอบหมายของนั้นไปอีกทอดหนึ่ง มาตรา 618 ถ้าของนั้นได้ส่งไปโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอด ท่านว่าผู้ขนส่งทั้งนั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในการสูญหาย บุบสลาย หรือส่งชักช้า” กล่าวโดยสรุป (1) สัญญารับขน คือ สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขนส่งตกลงว่าจะทำการขนส่งของหรือคนโดยสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยเรียกสินจ้างซึ่งเป็นค่าระวางพาหนะหรือค่าโดยสารแล้วแต่กรณี จากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง ทั้งนี้ ต้องเป็นการค้าปกติของผู้ขนส่ง (2) การให้บริการขนส่งสินค้าหรือสิ่งของในราชอาณาจักร หมายถึง การรับจ้างขนส่งสินค้าหรือสิ่งของโดยรับขนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยไม่ได้มีการให้บริการอื่นใดอีกในการรับขนดังกล่าว (3) สัญญารับขนนั้นมีลักษณะเป็นการรับขนคนโดยสารหรือสิ่งของจากที่หนึ่งไปยัอีกที่หนึ่ง และสัญญารับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 608 นั้น มิไดร้ะบุชัดเจนว่า ผู้ขนส่งจะต้องมียานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งเป็นของตนเอง อีกทั้งยังมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่วางหลกัในเรื่องนี้ว่า “ผู้ขูนส่งไม่จำเป็นต้องมีพาหนะเป็นของตนเอง” เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2538 โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการติดต่อดำเนินการเกี่ยวกับพิธีศุลกากรและการลากจูงตูกบรรจุสินค้าที่โรงงานของโจทก์ซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและลากจูงตู้บรรจุสินค้าที่โรงงานของโจทก์ซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและลากจูงตู้บรรจุสินค้าดังกล่าวไปส่งมอบให้บริษัท น. ที่ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย แม้จำเลยที่ 1 จะไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่ง และไม่มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง แต่การขนส่งและรับขนสินค้าเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของจำเลยที่ 1 ที่ได้จดทะเบียนไว้ ก็ถือว่า จำเลยที่ 1 ประกอบการเป็นผู้รับขนของเพื่อบำเหน็จเป็นทางการค้าปกติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 การที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างใหจำเลยที่ 3 นำรถไปลากจูงตู้บรรจุสินค้าดังกล่าวย่อมเป็นการมอบหมายของนั้นไปอีกทอดหนึ่ง เมื่อของที่รับขนสูญหายไป เพราะความผิดของจำเลยที่ 3 จำาเลยที่ 1 และจัเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ด้วยตามมาตรา 617
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า กรณีบริษัท A และบริษัท B ว่าจ้างบริษัท C ขนส่งสินค้าภายในประเทศ ไปส่งโกดัง แต่บริษัท C ไม่มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง จึงว่าจ้าง นาย ข ให้ขนส่งสินค้า โดยนาย ข มิได้จดทะเบียนขนส่ง และไม่มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง นาย ข ได้ไปว่าจ้าง นาย จ ในการขนส่งสินค้าของบริษัท A ซึ่งนาย จ มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง และว่าจ้าง นาง ฉ ในการขนส่งสินค้าของบริษัท B ซึ่ง นาง ฉ ไม่มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง นาง ฉ ได้ไปว่าจ้าง นาย ช ขนส่งสินค้าของบริษัท B เช่นนี้ เงินได้ที่นาย ข ได้รับจากบริษัท C ถือเป็นรายได้จากการประกอบกิจการขนส่งตามมาตรา 608 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นการรับจ้างขนส่งคนหลายทอดตามมาตรา 618 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต่อประเด็นที่ นาย ข เป็นผู้สำรองค่าใช้จ่ายในการขนส่งให้กับนาย จ และนาง ฉ ก่อน ถือเป็นการจ่ายค่าจ้างขนส่งให้แก่นาย จ และนาง ฉ เมื่อนาย จ. และนาง ฉ ขนส่งเสร็จแล้ว นาย ข จึงจะไปวางบิลกับบริษัท C นั้น ถือเป็นการดำเนินการขนส่งเป็นปกติทางการค้าทั่วไป ไม่เป็นเหตุทำให้นาย ข เป็นนายหน้าตัวแทน หรือรับจัดการแต่อย่างใด เนื่องเพราะนาย ข ต้องมีหน้าที่และความรับผิดที่เกี่ยวข้องกับการนาย จ และนาง ฉ ดำเนินการขนส่ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |