Case study

โอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน เมื่อมีการโอนย้ายพนักงานระหว่างบริษัท


เรื่อง โอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน เมื่อมีการโอนย้ายพนักงานระหว่างบริษัท
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 14/02/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อกฎหมาย
คำถาม

บริษัท A  (บริษัทผู้โอน)  ได้โอนย้ายพนักงานไปยังบริษัท B  พร้อมทั้งโอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานของพนักงานรายบุคคลให้แก่บริษัท B (บริษัทผู้รับโอน)

โดยพนักงานที่โอนย้ายไปนั้น จะได้รับการนับอายุงานต่อเนื่องจากอายุงานในบริษัทผู้โอนและมีสิทธิ์ได้รับผลประโยชน์ตามกฎหมายแรงงานต่อเนื่องกัน  

บริษัท A  ยังไม่ได้จ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานที่ได้ตั้งสำรองไว้ทั้งหมด สำหรับพนักงานรายที่โอนไปนั้น ณ วันที่มีการโอนย้าย  

คำถาม 

1. ณ วันโอน บริษัท A  สามารถนำเงินสำรองที่โอนให้แก่ บริษัท B   มาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนย้ายพนักงาน ได้หรือไม่ 

2. ณ วันโอน บริษัท B ต้องรับรู้รายการอย่างไร  เเละ ถ้าบริษัท B มีการจ่ายให้พนักงานในปีที่รับโอนมา โดยจ่ายด้วยมูลค่าที่เท่ากันกับที่รับโอนมา มีผลกับค่าใช้จ่ายทางภาษีหรือไม่

3. อนาคต  ถ้าบริษัท B มีการจ่ายให้พนักงาน โดยจ่ายด้วยมูลค่าที่ มากกว่า กับที่รับโอนมา มีผลกับค่าใช้จ่ายทางภาษีหรือไม่    

4. อนาคต  ถ้าบริษัท B มีการจ่ายให้พนักงาน โดยจ่ายด้วยมูลค่าที่ น้อยกว่า  หรือ ไม่จ่ายเพราะพนักงานลาออกเอง  มีผลกับค่าใช้จ่ายทางภาษีหรือไม่    เเละ มีผลอะไรกับบริษัท A หรือไม่     


คำตอบ


คำตอบ 1    บริษัท A  โอนเงินสำรองให้แก่ บริษัท B

  • บริษัท A  ถือเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนย้ายพนักงาน ตามเกณฑ์สิทธิ มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
  • ค่าใช้จ่ายนี้เกี่ยวข้องกับกิจการ ไม่ใช่รายจ่ายส่วนตัว พิสูจน์ผู้รับได้  ดังนั้นจึงเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(3)(9) (13)(18) แห่งประมวลรัษฎากร

อ้างอิงข้อหารือ กค 0702/2993 และ กค 0702/4946 และ กค 0702/8680 และ FB คำตอบจากอาจารย์สุเทพ ตามอ้างอิงด้านล่าง (ดูที่เทสีเหลืองนะคะ)




คำตอบ 2 บริษัท A  โอนเงินสำรองให้แก่ บริษัท B 

  • รอบที่รับโอน  บริษัท B  บันทึกบัญชี Dr. เงินสด/เงินฝาก   และ  Cr. ผลประโยชน์พนักงานค้างจ่าย(เจ้าหนี้)  จึงไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งทางบัญชีและทางภาษีในงบกำไรขาดทุน 
  • เมื่อมีการจ่ายจริง โดยจ่ายให้พนักงาน เท่ากับ ยอดที่รับโอนมา ก็จะบันทึกบัญชี  Dr. ผลประโยชน์พนักงานค้างจ่าย(เจ้าหนี้)และ  Cr.เงินสด/เงินฝาก  จึงไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งทางบัญชีและทางภาษีในงบกำไรขาดทุนเช่นกัน 

อ้างอิงข้อหารือ กค 0702/2993  และ กค 0702/4946  และ FB คำตอบจากอาจารย์สุเทพ ตามอ้างอิงด้านล่าง (ดูที่เทสีเขียวนะคะ)




คำตอบ 3    บริษัทผู้รับโอนมีการจ่ายจริง โดยจ่ายให้พนักงาน มากกว่า ยอดที่รับโอนมา ก็จะบันทึกบัญชี  

Dr. ผลประโยชน์พนักงานค้างจ่าย(เจ้าหนี้)     และ  Cr.เงินสด/เงินฝาก   (เท่ากับยอดที่ตั้ง)

Dr. ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานและ   Cr.เงินสด/เงินฝาก   (เท่ากับส่วนเกินกว่ายอดที่ตั้ง)

  • มีค่าใช้จ่ายทั้งทางบัญชีและทางภาษีในงบกำไรขาดทุน และสามารถรับรู้เป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(3)(9) (13)(18) แห่งประมวลรัษฎากร

อ้างอิงข้อหารือ กค 0702/2993   (ดูที่เทสีชมพูนะคะ)




คำตอบ 4    เมื่อบริษัทริษัทผู้โอน โอน ให้ผบริษัทผู้รับโอน 

กรณีบริษัทโอนย้ายพนักงานไปยังบริษัทในเครือ พร้อมทั้งโอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานของพนักงานรายบุคคลให้แก่บริษัทในเครือ (บริษัทผู้รับโอน) โดยพนักงานที่โอนย้ายไปนั้น จะได้รับการนับอายุงานต่อเนื่องจากอายุงานในบริษัทผู้โอนและมีสิทธิ์ได้รับผลประโยชน์ตามกฎหมายแรงงานต่อเนื่องกันนั้น ถือว่า  บริษัทผู้รับโอนตกลงรับโอนสิทธิและหน้าที่ในฐานะนายจ้างที่บริษัทผู้โอน เคยมีอยู่ โดยมีผลในวันที่ตกลงให้การโอนมีผลใช้บังคับเรียบร้อยแล้ว 

ดังนั้น ถ้าอนาคต มีหน้าที่ที่ต้องทำ   ทั้งต้องจ่ายเพิ่ม  หรือ จ่ายน้อยลง หรือ ไม่ต้องจ่าย นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่ของบริษัทผู้รับโอน บริษัทผู้โอน ไม่มีภาระผูกพันที่มีต่อพนักงานดังกล่าวอีกต่อไปดังนั้น ไม่ต้องปรับปรุงรายการใดๆในบริษัทผู้โอน

อ้างอิงข้อหารือ กค 0702/8680 (ดูที่เทสีเทานะคะ)



มาตรา 65  เงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามความในส่วนนี้คือกำไรสุทธิซึ่งคำนวณได้จากรายได้จากกิจการ หรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี และรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวให้มีกำหนดสิบสองเดือน เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้จะน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้ คือ
(ก) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเริ่มตั้งใหม่จะถือวันเริ่มตั้งถึงวันหนึ่งวันใดเป็นรอบระยะเวลาบัญชีแรกก็ได้
(ข) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอาจยื่นคำร้องต่ออธิบดีขอเปลี่ยนวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ในกรณีเช่นว่านี้ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาต สุดแต่จะเห็นสมควร คำสั่งเช่นว่านั้นต้องแจ้งให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ยื่นคำร้องทราบภายในเวลาอันสมควร และในกรณีที่อธิบดีสั่งอนุญาต ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนด
             การคำนวณรายได้และรายจ่ายตามวรรคหนึ่งให้ใช้เกณฑ์สิทธิ โดยให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด แม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และให้นำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้นแม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
             ในกรณีจำเป็น ผู้มีเงินได้จะขออนุมัติต่ออธิบดีเพื่อเปลี่ยนแปลงเกณฑ์สิทธิ และวิธีการทางบัญชีเพื่อคำนวณรายได้และรายจ่ายตามวรรคสองก็ได้ และเมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีแล้ว ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป



มาตรา 65 ตรีรายการต่อไปนี้ ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ

“(3) รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว การให้โดยเสน่หา หรือการกุศล เว้นแต่..

 (9) รายจ่ายซึ่งกำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง หรือรายจ่ายซึ่งควรจะได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีอื่น เว้นแต่ในกรณีที่ไม่สามารถจะลงจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีใด ก็อาจลงจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่ถัดไปได้

 (13) รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ

(18) รายจ่ายซึ่งผู้จ่ายพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ



อ้างอิง

เรื่อง

ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

04/06/2008

เลขที่หนังสือ

กค 0702/2993

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

    บริษัทฯ ประกอบกิจการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งการผลิตชิ้นส่วนดังกล่าว มีปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับ ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการพึ่งพาการรับจ้างผลิตจากลูกค้ารายเดียว ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อความมั่งคงของพนักงานที่จะได้รับผลตอบแทนตามกฎหมายแรงงาน คณะกรรมการของบริษัทฯ จึงมีมติให้สำรองเงินเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างพนักงานตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา โดยได้บันทึกบัญชีสำรองเงินเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างพนักงานดังกล่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2545 แต่ไม่ได้นำไปคำนวณเป็นรายจ่ายทางภาษีอากรแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อปี 2551 บริษัทฯ มีความจำเป็น ต้องโอนย้ายพนักงานทั้งหมดไปยังบริษัทซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน (บริษัทในเครือ) พนักงานที่โอนย้ายไปยังบริษัท ในเครือนั้น จะได้รับการนับอายุงานต่อเนื่องจากอายุงานในบริษัทฯ และมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน ต่อเนื่องกับบริษัทในเครือนั้น บริษัทฯ จึงขอทราบว่า
        1. กรณีบริษัทฯ โอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน ที่ได้สำรองไว้ทั้งหมดให้แก่บริษัทในเครือ โดยมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินให้พนักงานตามสิทธิที่พนักงาน จะได้รับ
บริษัทฯ สามารถนำเงินที่จ่ายไปดังกล่าว มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในปีที่จ่าย ไปจริงทั้งจำนวนได้หรือไม่ และบริษัทในเครือซึ่งรับโอนเงินนั้น ไม่ต้องนำไปบันทึกเป็นรายได้ในการคำนวณภาษี แต่บันทึกเป็นหนี้สินที่จะต้องจ่ายต่อไปได้หรือไม่
        2. กรณีพนักงานที่โอนไปนั้น ลาออกจากงานก่อนเกษียณอายุ หรือถูกเลิกจ้างบริษัทในเครือต้องจ่าย เงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานให้แก่พนักงานที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้าง ดังกล่าว หากการจ่ายเงินนั้นมีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนเงินที่ได้รับโอนจากบริษัทฯ
บริษัทในเครือจะต้องนำเงินส่วนต่างดังกล่าวมาคำนวณเป็นรายได้หรือรายจ่ายทางภาษีอากรหรือไม่

แนววินิจฉัย

     1. กรณีบริษัทฯ โอนย้ายพนักงานไปยังบริษัทในเครือพร้อมทั้งโอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชย การเลิกจ้างของพนักงานเป็นรายบุคคลให้แก่บริษัทในเครือ พนักงานที่โอนย้ายไปนั้น จะได้รับการนับอายุงานต่อเนื่องจากอายุงานในบริษัทฯ และมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตามกฎหมายแรงงานต่อเนื่องกัน เมื่อบริษัทฯ โอน จ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานที่มีอยู่ทั้งหมดไปให้แก่บริษัทในเครือ บริษัทฯ สามารถนำเงินดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนเงิน ดังกล่าวนั้นได้ โดยถือว่าบริษัทฯ ได้จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่พนักงานเสร็จเด็ดขาดแล้ว ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนบริษัทในเครือไม่ต้องนำมาถือเป็นรายได้ เพราะเป็นการรับโอนมาโดยมี ข้อผูกพันว่าจะต้องจ่ายต่อไป แต่ต้องนำไปเข้าบัญชีเจ้าหนี้ไว้ก่อนเป็นรายๆ เมื่อบริษัทในเครือจ่ายเงินให้พนักงาน ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ขอให้จ่ายจากบัญชีเจ้าหนี้ดังกล่าวก่อน ซึ่งต้องห้ามถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไร สุทธิตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้ามีเงินเหลือหรือ ในที่สุดไม่ต้องจ่ายเงินให้แก่พนักงานรายใด อีกในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว จะต้องนำกลับมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
      2. กรณีบริษัทในเครือจ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงาน
เกินกว่าจำนวน ที่ได้รับโอนมา เงินสมทบในส่วนที่บริษัทในเครือได้จ่ายไปนั้น ย่อมถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับ รอบระยะเวลาบัญชีที่จ่ายได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฎากร หากว่าการจ่ายดังกล่าว เป็นการจ่ายตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือข้อตกลงที่จะต้องจ่ายให้แก่พนักงานทุกคนในทำนองเดียวกัน โดยไม่ได้ กำหนดว่าจะต้องจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี บริษัทในเครือต้องได้นำเงินสมทบ หรือผลประโยชน์ที่ได้จากเงินสมทบและเงินสำรองที่รับโอนมาดังกล่าว ไปถือเป็นรายได้และได้รวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว

เลขตู้

71/35910




เรื่อง

ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการตั้งสำรองเงินเกษียณและเงินช่วยเหลือการลาออกของพนักงาน

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

05/07/2011

เลขที่หนังสือ

กค 0702/4946

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (1) และ (9) และ(13) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

   บริษัทฯ ได้ตั้งสำรองเงินเกษียณของพนักงาน จำนวนเงิน 15,167,535.93 บาท โดยมีหลักเกณฑ์ให้พนักงาน ที่ปฏิบัติงานจนอายุครบ 60 ปี เป็นจำนวน 10 เท่าของเงินเดือนซึ่งคำนวณจากอายุของพนักงานและโอกาสความเป็นไปได้ของพนักงานที่จะอยู่จนเกษียณตามแต่ช่วงอายุของพนักงาน และเงินสำรองช่วยเหลือการลาออกของพนักงาน จำนวนเงิน 17,238,849.71 บาท โดยมีหลักเกณฑ์ในการตั้งสำรองเงินช่วยเหลือการลาออกของพนักงาน ซึ่งคำนวณ ตามอายุงานและระเบียบเงินช่วยเหลือการลาออกของบริษัทฯ พนักงานแต่ละคนมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการลาออก ตามระเบียบของบริษัทฯ ณ วันที่โอนย้ายพนักงานให้แก่บริษัทในเครือเป็นจำนวนเท่าใด บริษัทฯ จะตั้งสำรองเงิน ช่วยเหลือลาออกตามสิทธิของพนักงานแต่ละคน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ทำการบันทึกบัญชีไว้ โดยมีการคำนวณรายละเอียด เป็นรายบุคคล ซึ่งในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองที่บริษัทฯบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีนั้น ได้ทำการบวกกลับทั้งหมดแล้ว และเนื่องจากบริษัทฯ มีการโอนย้ายพนักงานจำนวน 332 คน ให้กับบริษัทในเครือซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลบริษัทฯ จึงขอทราบว่า

1. กรณีเมื่อมีการโอนย้ายพนักงานให้กับบริษัทในเครือ บริษัทฯ จะนำเงินสำรองเกษียณและเงินสำรองช่วยเหลือ การลาออกมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ได้หรือไม่

2. บริษัทในเครือที่รับโอนพนักงาน จะบันทึกบัญชีสำหรับเงินสำรองที่รับโอนอย่างไร

3. เมื่อพนักงานที่โอนย้ายลาออก บริษัทในเครือผู้รับโอนจะบันทึกบัญชีอย่างไร

แนววินิจฉัย

1. กรณีบริษัทฯ โอนพนักงานให้แก่บริษัทในเครือซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลกันโดยโอนเงินสำรองเกษียณ และเงินสำรองช่วยเหลือลาออกของพนักงานเป็นรายบุคคลให้แก่บริษัทในเครือ บริษัทฯ มีสิทธินำเงินสำรองที่โอนดังกล่าว มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนเงินดังกล่าวนั้นได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (1) และ (9) แห่ง ประมวลรัษฎากร

2. กรณีตาม 2. และ 3. เมื่อบริษัทฯ โอนเงินสำรองเกษียณและเงินสำรองช่วยเหลือการลาออกของพนักงานให้แก่ บริษัทในเครือ เพื่อให้บริษัทในเครือเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินให้พนักงานที่ลาออกจากงานเป็นการโอนไปพร้อมกับความผูกพัน ที่ต้องจ่ายเงินสำรองเกษียณและเงินสำรองช่วยเหลือการลาออกของพนักงาน จึงไม่ถือเป็นเงินได้ของบริษัทในเครือ และเมื่อ บริษัทในเครือจ่ายเงินสำรองดังกล่าวให้แก่พนักงานที่ลาออกจากงาน บริษัทในเครือไม่มีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการ คำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับเงินสำรองเกษียณและเงินสำรองช่วยเหลือการลาออกของพนักงานที่บริษัทในเครือรับโอนไปนั้น ให้บริษัทฯ ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ที่รับรองทั่วไป

เลขตู้

74/37782



เรื่อง

ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีรายจ่ายเงินสำรองค่าชดเชยการเลิกจ้าง เนื่องจากการโอนกิจการ

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

03/10/2013

เลขที่หนังสือ

กค 0702/8680

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (1)(9)(13) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

     เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2553 บริษัท ก. ได้ทำสัญญาโอนกิจการทั้งหมด ได้แก่ สิทธิทรัพย์สิน และหนี้สินให้แก่ บริษัท ข. โดยให้มีผลเป็นการโอนกิจการทั้งหมด ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 ซึ่ง บริษัท ก. ได้ดำเนินการจดทะเบียนเลิกบริษัทและชำระบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนกิจการ และเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2553 บริษัท ก. ได้ทำบันทึกข้อตกลงที่เกี่ยวเนื่องกับสัญญาโอนกิจการ เกี่ยวกับการโอนและรับโอนสิทธิและหน้าที่ในฐานะนายจ้างที่ บริษัท ก. มีอยู่ตามสัญญาจ้างงาน กับพนักงานของ บริษัท ก. ซึ่งตามข้อ 4 ของบันทึกข้อตกลงระบุว่า "ในวันโอนกิจการผู้โอนตกลงโอนและผู้รับโอนตกลงรับโอนเงินจำนวน 65,408,090.00 บาท (หกสิบห้าล้านสี่แสนแปดพันเก้าสิบบาทถ้วน) โดยผู้รับโอนสัญญาว่าจะนับอายุงานของพนักงานที่ได้รับโอนมาจากผู้รับโอนต่อเนื่องจากอายุงานที่พนักงานแต่ละรายมีอยู่กับผู้โอน" ดังนั้น เงินจำนวนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายเป็นเงินสำรองค่าชดเชยการเลิกจ้าง (รวมกรณีการเกษียณอายุ) ซึ่ง บริษัท ก. ได้จ่ายเงินดังกล่าวให้ บริษัท ข. เป็นเช็คเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 และ บริษัท ก. ได้นำเงินสำรองค่าชดเชยการเลิกจ้าง จำนวน 65,408,090.00 บาท มาคำนวณเป็นรายจ่ายทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 - 31 พฤษภาคม 2553 เป็นผลให้มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 46,470,289.32 บาท ทั้งนี้ บริษัท ก. ไม่เคยมีการตั้งเงินสำรองค่าชดเชยการเลิกจ้างในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนๆ แต่อย่างใด ประกอบกับหมายเหตุประกอบงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และ 2551 ข้อ 2.9 ผลประโยชน์พนักงาน บริษัท ก. รับรู้เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เงินสมทบกองทุนประกันสังคมและผลประโยชน์อื่นๆ เป็นค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดรายการ โดยไม่ได้บันทึกหนี้สินเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานซึ่งอาจต้องจ่ายภายภาคหน้าภายใต้กฎหมายแรงงาน และในการโอนกิจการเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 บริษัท ก. และ บริษัท ข. ตกลงรับโอนเงินสำรองค่าชดเชยการเลิกจ้าง จำนวน 65,408,090.00 บาท โดยจ่ายเงินเป็นเช็คลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 จำนวน 4 ฉบับ เงินจำนวนนี้ บริษัท ก. ยังไม่เคยจัดตั้งในระบบบัญชีและนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมาก่อน และยังไม่มีการจ่ายเงินให้กับพนักงานตามหลักการบัญชีที่ปฏิบัติต่อกันมาซึ่งจะรับรู้รายจ่ายเมื่อเกิดรายการ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตั้งบัญชีเงินสำรอง ค่าชดเชยการเลิกจ้างในปีที่มีการโอนกิจการและเลิกกิจการ เนื่องจาก บริษัท ข. จะต้องรับโอนพนักงาน สิทธิ และนับอายุการทำงานต่อเนื่องตามสัญญา

 
     กรณีดังกล่าวบริษัท ก. จะนำเงินสำรองค่าชดเชยการเลิกจ้างไปเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2553 ซึ่งเป็นรอบระยะเวลาบัญชีที่แจ้งเลิกได้หรือไม่ อย่างไร

แนววินิจฉัย

     1. กรณี บริษัท ก. มีข้อผูกพันกับพนักงานตามข้อบังคับการทำงานซึ่งได้จดทะเบียนต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในการจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างซึ่งรวมถึงกรณีการเกษียณอายุด้วย ซึ่งค่าชดเชยที่ผูกพันต้องให้แก่พนักงานนั้น ไม่ว่า บริษัท ก. จะได้ตั้งเป็นเงินสำรองไว้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีในระหว่างที่พนักงานทำงานอยู่กับ บริษัท ก. ซึ่งถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามมาตรา 65 ตรี (1) แห่งประมวลรัษฎากร และ บริษัท ก. ได้นำเงินสำรองดังกล่าวมารวมคำนวณในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้วหรือไม่ได้ตั้งเป็นเงินสำรองไว้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีในระหว่างที่พนักงานทำงานอยู่กับ บริษัท ก. เมื่อปรากฏว่า บริษัท ก. ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อผูกพันดังกล่าว บริษัท ก. ก็ย่อมมีสิทธินำเงินค่าชดเชยดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (1) (9) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร

 
     2. กรณี บริษัท ก. โอนกิจการทั้งหมดให้แก่ บริษัท ข. ซึ่งนอกจากจะหมายถึงการโอนทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดให้ บริษัท ข. แล้ว ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโอนกิจการทั้งหมด ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2553 บริษัท ก. และ บริษัท ข. ได้ตกลงกันซึ่งสรุปได้ว่า บริษัท ก. ตกลงโอนและ บริษัท ข. ตกลงรับโอนสิทธิและหน้าที่ในฐานะนายจ้างที่ บริษัท ก. มีอยู่ตามสัญญาจ้างงานกับพนักงานของ บริษัท ก. โดยให้การโอนย้ายพนักงานดังกล่าวมีผลในวันโอนกิจการ และในวันโอนกิจการ บริษัท ข. ตกลงรับโอนเงินจำนวน 65,408,090.00 บาท (หกสิบห้าล้านสี่แสนแปดพันเก้าสิบบาทถ้วน) และสัญญาว่าจะนับอายุงานของพนักงานที่ได้รับโอนมาจาก บริษัท ก. ต่อเนื่องจากอายุงานที่พนักงานแต่ละรายมีอยู่กับ บริษัท ก. ดังนั้น เมื่อ บริษัท ก. ต้องโอนย้ายพนักงานพร้อมทั้งโอนเงินค่าชดเชยที่พนักงานมีสิทธิที่จะได้รับระหว่างการทำงานกับ บริษัท ก. ให้ บริษัท ข. โดย บริษัท ข. ตกลงรับโอนเงินดังกล่าวและผูกพันว่าต้องรับโอนสิทธิและหน้าที่ในฐานะนายจ้างที่ บริษัท ก. มีอยู่ตามสัญญาจ้างกับพนักงานของ บริษัท ก. ตามบันทึก ข้อตกลงดังกล่าวนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ บริษัท ก. โอนเงินค่าชดเชยดังกล่าวให้แก่ บริษัท ข. ก็เพื่อให้ บริษัท ข. รับโอนเงินดังกล่าวนำมาสำรองไว้เพื่อจ่ายให้พนักงานในภายหลังตามข้อผูกพันที่นายจ้างเดิมมีต่อพนักงาน และทำให้ บริษัท ก. ไม่มีภาระผูกพันที่มีต่อพนักงานดังกล่าวอีกต่อไป การโอนเงินดังกล่าวของ บริษัท ก. ให้แก่ บริษัท ข. จึงเป็นการปฏิบัติตามข้อผูกพันที่ บริษัท ก. มีต่อพนักงานและข้อผูกพันระหว่าง บริษัท ก. กับ บริษัท ข. และเมื่อ บริษัท ก. ได้โอนเงินดังกล่าวโดยจ่ายเป็นเช็คลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 จำนวน 4 ฉบับ ให้แก่ บริษัท ข. แล้ว บริษัท ก. จึงมีสิทธินำเงินดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนเงินดังกล่าวได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (1) (9) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด

เลขตู้

76/38754



เรื่อง

เงินชดเชยการเลิกจ้าง (เกษียณอายุ)

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 26/05/2020 - วันที่ตอบ 08/06/2020

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

มีการแก้ไขคำตอบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เนื่องจากได้รับแนวคำตอบข้อหารือของกรมสรรพากรมาเพิ่มเติม พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นคำตอบที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จึงขอนำมาโพสต์ใหม่ ดังนี้

Inbox: อาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 เวลา 19:29 น.

มีเรื่องรบกวนขอคำปรึกษาคะ

    บริษัท ก มีการตั้งเงินชดเชยการเลิกจ้าง (เกษียณอายุ) ในแต่ละปี ค่าใช้จ่ายที่บันทึกเป็นค่าใช้ผลประโยชน์ระยะยาวพนักงาน ในแต่ละปีจะบวกกลับทางภาษี และเมื่อวันที่ 1/9/62 มีโอนย้ายพนักงาน ไปบริษัท ข โดยบริษัท ข รับโอนพนักงาน สิทธิ และนับอายุการทำงานต่อเนื่องตามสัญญาเดิมจากบริษัท ก การโอนพนักงานดังกล่าว ค่าชดเชยเงินเกษียณ ณ วันที่ 31/12/62 บริษัท ก ตั้งบริษัท ข เป็นเจ้าหนี้ และมีการโอนเงินทำเช็คจ่ายให้กับบริษัท ข เมื่อวันที่ 6/2/63

อยากทราบว่า
 
    ค่าใช้จ่าย เงินเชดเชย บริษัท ก สามารถใช้สิทธิทางภาษี ได้ในรอบระยะเวลาบัญชี ปี 62 หรือไม่คะ

รบกวนอาจารย์ด้วยคะ

วิสัชนา

กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัท ก โอนพนักงานไปยังบริษัท ข เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 โดยบริษัท ข รับโอนพนักงาน สิทธิ และนับอายุการทำงานต่อเนื่องตามสัญญาเดิมจากบริษัท ก ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศซ 2562 บริษัท ก ตั้งบริษัท ข เป็นเจ้าหนี้ สำหรับค่าชดเชยเงินเกษียณอายุของพนักงานไปยังบริษัท ข และได้มีการโอนเงินทำเช็คจ่ายให้กับบริษัท ข เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 นั้น

ตามแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากร เลขที่หนังสือ: กค 0702/2993

วันที่: 4 มิถุนายน 2551

เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน

ข้อกฎหมาย: มาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

    บริษัทฯ ประกอบกิจการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งการผลิตชิ้นส่วนดังกล่าว มีปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับ ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการพึ่งพาการรับจ้างผลิตจากลูกค้ารายเดียว ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อความมั่งคงของพนักงานที่จะได้รับผลตอบแทนตามกฎหมายแรงงาน คณะกรรมการของบริษัทฯ จึงมีมติให้สำรองเงินเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างพนักงานตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา โดยได้บันทึกบัญชีสำรองเงินเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างพนักงานดังกล่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2545 แต่ไม่ได้นำไปคำนวณเป็นรายจ่ายทางภาษีอากรแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อปี 2551 บริษัทฯ มีความจำเป็น ต้องโอนย้ายพนักงานทั้งหมดไปยังบริษัทซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน (บริษัทในเครือ) พนักงานที่โอนย้ายไปยังบริษัท ในเครือนั้น จะได้รับการนับอายุงานต่อเนื่องจากอายุงานในบริษัทฯ และมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน ต่อเนื่องกับบริษัทในเครือนั้น บริษัทฯ จึงขอทราบว่า

    1. กรณีบริษัทฯ โอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน ที่ได้สำรองไว้ทั้งหมดให้แก่บริษัทในเครือ โดยมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินให้พนักงานตามสิทธิที่พนักงาน จะได้รับ บริษัทฯ สามารถนำเงินที่จ่ายไปดังกล่าว มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในปีที่จ่าย ไปจริงทั้งจำนวนได้หรือไม่ และบริษัทในเครือซึ่งรับโอนเงินนั้น ไม่ต้องนำไปบันทึกเป็นรายได้ในการคำนวณภาษี แต่บันทึกเป็นหนี้สินที่จะต้องจ่ายต่อไปได้หรือไม่

   2. กรณีพนักงานที่โอนไปนั้น ลาออกจากงานก่อนเกษียณอายุ หรือถูกเลิกจ้างบริษัทในเครือต้องจ่าย เงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานให้แก่พนักงานที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้าง ดังกล่าว หากการจ่ายเงินนั้นมีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนเงินที่ได้รับโอนจากบริษัทฯ บริษัทในเครือจะต้องนำเงินส่วนต่างดังกล่าวมาคำนวณเป็นรายได้หรือรายจ่ายทางภาษีอากรหรือไม่

แนววินิจฉัย

    1. กรณีบริษัทฯ โอนย้ายพนักงานไปยังบริษัทในเครือพร้อมทั้งโอนเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชย การเลิกจ้างของพนักงานเป็นรายบุคคลให้แก่บริษัทในเครือ พนักงานที่โอนย้ายไปนั้น จะได้รับการนับอายุงานต่อเนื่องจากอายุงานในบริษัทฯ และมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตามกฎหมายแรงงานต่อเนื่องกัน เมื่อบริษัทฯ โอน จ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานที่มีอยู่ทั้งหมดไปให้แก่บริษัทในเครือ บริษัทฯ สามารถนำเงินดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนเงิน ดังกล่าวนั้นได้ โดยถือว่าบริษัทฯ ได้จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่พนักงานเสร็จเด็ดขาดแล้ว ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนบริษัทในเครือไม่ต้องนำมาถือเป็นรายได้ เพราะเป็นการรับโอนมาโดยมี ข้อผูกพันว่าจะต้องจ่ายต่อไป แต่ต้องนำไปเข้าบัญชีเจ้าหนี้ไว้ก่อนเป็นรายๆ เมื่อบริษัทในเครือจ่ายเงินให้พนักงาน ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ขอให้จ่ายจากบัญชีเจ้าหนี้ดังกล่าวก่อน ซึ่งต้องห้ามถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไร สุทธิตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้ามีเงินเหลือหรือ ในที่สุดไม่ต้องจ่ายเงินให้แก่พนักงานรายใด อีกในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว จะต้องนำกลับมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น

    2.กรณีบริษัทในเครือจ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานเกินกว่าจำนวน ที่ได้รับโอนมา เงินสมทบในส่วนที่บริษัทในเครือได้จ่ายไปนั้น ย่อมถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับ รอบระยะเวลาบัญชีที่จ่ายได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร หากว่าการจ่ายดังกล่าว เป็นการจ่ายตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือข้อตกลงที่จะต้องจ่ายให้แก่พนักงานทุกคนในทำนองเดียวกัน โดยไม่ได้ กำหนดว่าจะต้องจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี บริษัทในเครือต้องได้นำเงินสมทบ หรือผลประโยชน์ที่ได้จากเงินสมทบและเงินสำรองที่รับโอนมาดังกล่าว ไปถือเป็นรายได้และได้รวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว

เลขตู้ : 71/35910

https://www.rd.go.th/publish/38503.0.html

ข้อสรุป

    1กรณีนี้ ถือได้ว่า พนักงานท่านดังกล่าวได้ออกจากบริษัท ก ไปแล้วโดยเด็ดขาดในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 บริษัท ก จึงย่อมสามารถนำเงินชดเชยของพนักงานดังกล่าวไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2562

    2. ประเด็นต่อเนื่อง แม้บริษัท ก รับรู้รายจ่ายค่าเงินชดเชยเป็นรายจ่ายดังกล่าว ในทางตรงกันข้ามบริษัท ข ก็ไม่ต้องรับรู้เป็นรายได้อื่น จนกว่าพนักงานท่านนั้นจะขาดจากการเป็นพนักงานของบริษัท ข โดยให้นำไปเข้าบัญชีเจ้าหนี้ไว้ก่อนเป็นรายๆ เมื่อบริษัทในเครือจ่ายเงินให้พนักงาน ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ขอให้จ่ายจากบัญชีเจ้าหนี้ดังกล่าวก่อน ซึ่งต้องห้ามถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไร สุทธิตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้ามีเงินเหลือหรือ ในที่สุดไม่ต้องจ่ายเงินให้แก่พนักงานรายใด อีกในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว จะต้องนำกลับมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น

       กรณีบริษัท ข จ่ายเงินสำรองเกษียณอายุและเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานเกินกว่าจำนวน ที่ได้รับโอนมา เงินสมทบในส่วนที่บริษัทในเครือได้จ่ายไปนั้น ย่อมถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับ รอบระยะเวลาบัญชีที่จ่ายได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร


ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"




หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ