Case study

ได้รับส่วนลดจากการซื้อสินค้าออนไลน์ แต่ใบกำกับภาษีไม่มียอดส่วนลด ต้องบันทึกบัญชีอย่างไร


เรื่อง ได้รับส่วนลดจากการซื้อสินค้าออนไลน์ แต่ใบกำกับภาษีไม่มียอดส่วนลด ต้องบันทึกบัญชีอย่างไร
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 25/02/2025
ประเภทภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย
คำถาม

บริษัทได้มีการซื้ออุปกรณ์เพื่อใช้ในการทำงานของบริษัท โดยสั่งจากร้านค้าออนไลน์ และได้รับส่วนลดเมื่อสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์โดยทางบริษัทจะต้องเข้าไปกดรับส่วนลดจากทางร้านค้า โดยมีรายละเอียดดังนี้

ราคาสินค้า    3,100 บาท

ภาษี             217  บาท

ส่วนลด        -465  บาท

บริษัทได้จ่ายเงินซื้อของในครั้งนี้เป็นเงิน 2,852 บาท

ต่อมาเมื่อทางบริษัทได้รับใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน ยอดที่แสดงในใบกำกับภาษีมีดังนี้

ราคาสินค้า     3,100    บาท

ภาษี              217     บาท

รวม             3,317    บาท

ซึ่งในใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน ไม่แสดงยอดส่วนลดที่ทางบริษัทได้รับ เท่ากับว่าทางบริษัทจ่ายเงินต่ำกว่า ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน ที่ได้รับมา จึงเกิดคำถามดังนี้

1. วิธีบันทึกบัญชีจะบันทึกอย่างไร

2. มีภาษีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง และต้องปฎิบัติอย่างไร 

คำตอบ

คำตอบ

1. การบันทึกบัญชี ตามเอกสารที่ได้รับ

Dr. ทรัพย์สิน (รถเข็น)              3,100

      ภาษีซื้อ                             217

            Cr. เงินสด                            2,852

                 ส่วนลดรับ / รายได้อื่น             465


2. ทางภาษี แบ่งได้ 2 แบบ (ต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง ว่าใครเป็นผู้ให้ส่วนลด)



2.1  Platform online เป็นผู้ให้ส่วนลด 


จากคำบอกกล่าวที่ให้มา  ได้นำส่วนลดหักจากค่าสินค้าหลังจากรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว   เข้าใจว่า น่าจะเป็นการ  รับส่วนลดพิเศษ แบบ CODE ที่เทียบเท่าเงินสด เช่น เก็บแล้วได้เงิน   และ นำ CODE นั้น ไปใช้ในการซื้อสินค้าแทนเงินสด ดังนั้น ฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าดังกล่าวได้แก่มูลค่าทั้งหมดที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้า  ตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร"

ซึ่งกรณีตาม 2.1 นี้ จะไม่สามารถใช้เกณฑ์ตาม  มาตรา 79(1) ได้ เพราะเข้าใจว่าผู้ประกอบการ(ผู้ขาย) ไม่ได้เป็นผู้ให้โดยตรงสำหรับสินค้านั้นๆ แต่อาจให้เป็น CODE หรือ คูปอง ที่นำมาใช้แทนเงินสด

ดังนั้นการที่ออกใบกำกับภาษีมายอดรวมจึงถูกต้องแล้ว   


** อย่างไรก็ตาม ถ้า CODE หรือ คูปอง ที่ได้มา ได้จากร้านค้าโดยตรง ระบุรายละเอียดสินค้านั้นๆ ไม่ใช่การใช้แทนเงินสด กรณีนี้ สามารถหักมูลค่าส่วนลดตาม มาตรา 79(1) แห่งประมวลรัษฏากรก่อนได้ค่ะ (อ่านรายละเอียดคำตอบเพิ่มเติมได้ที่ ข้อ 2.2 ผู้ประกอบการเป็นผู้ให้ส่วนลด)


มาตรา 79 ภายใต้บังคับมาตรา 79/1 ฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการ ได้แก่มูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ รวมทั้งภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในมาตรา 77/1 (19) ถ้ามีด้วย
 มูลค่าของฐานภาษีให้หมายความถึง เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการหรือประโยชน์ใด ๆ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน
             มูลค่าของฐานภาษีไม่ให้รวมถึง
                (1) 
ส่วนลดหรือค่าลดหย่อนที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ลดให้ในขณะขายสินค้าหรือให้บริการและได้หักส่วนลดหรือค่าลดหย่อนดังกล่าวออกจากราคาสินค้าหรือราคาค่าบริการ โดยได้แสดงให้เห็นไว้ชัดแจ้งว่าได้มีการหักส่วนลดหรือค่าลดหย่อนไว้ในใบกำกับภาษีในแต่ละครั้งที่ออกแล้ว ทั้งนี้ เว้นแต่ส่วนลดหรือค่าลดหย่อนในการขายสินค้าหรือให้บริการของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อตามมาตรา 86/6 หรือมาตรา 86/7 ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะไม่แสดงส่วนลดหรือค่าลดหย่อนดังกล่าวให้เห็นชัดแจ้งไว้ในใบกำกับภาษีอย่างย่อก็ได้



อ้างอิงคำตอบ


เรื่อง

บริษัทฯ ได้รับ gift voucher จากแต้มบัตรเครดิตของบริษัทฯ และนำไปใช้ในการซื้อสินค้าแทนเงินสด

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 16/09/2024 - วันที่ตอบ 11/10/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

-

ปุจฉา

บริษัทฯ ได้รับ gift voucher จากแต้มบัตรเครดิตของบริษัทฯ และนำไปใช้ในการซื้อสินค้าแทนเงินสด

คำถามคือ

1. ใบกำกับภาษีที่ได้รับจากการซื้อสินค้า คือยอดเต็มก่อนใช้ gift voucher ใช่ไหมคะ

2. การบันทึกค่าใช้จ่าย บริษัทบันทึกค่าใช้จ่ายจากราคาสินค้า หักด้วยจำนวน gift voucher ที่ใช้ และบันทึกภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีใช่ไหมคะ

วิสัชนา

กรณีบริษัทฯ ได้รับ gift voucher จากแต้มบัตรเครดิตของบริษัทฯ และนำไปใช้ในการซื้อสินค้าแทนเงินสด นั้น

1ใบกำกับภาษีที่ได้รับจากการซื้อสินค้า คือ ยอดเต็มก่อนใช้ gift voucher ถูกต้องแล้วครับ

2. การบันทึกค่าใช้จ่าย บริษัทฯ บันทึกค่าใช้จ่ายจากราคาสินค้าเต็มมูลค่าก่อนหักด้วยจำนวน gift voucher ที่ใช้ และบันทึกรายได้ส่วนลดจาก gift voucher สำหรับภาษีซื้อบันทีกรายการไปตามใบกำกับภาษี เช่น บริษัทฯ ได้รับ gift voucher จากแต้มบัตรเครดิตของบริษัทฯ จำนวน 1,000 บาท และนำไปใช้ในการซื้อสินค้าแทนเงินสด โดยราคาสินค้าเต็มมูลค่า คือ 3,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 210 บาท บันทึกรายการบัญชีโดย

       เดบิตสินค้า                    3,000 

              ภาษีซื้อ                     210

          เครดิตรายได้อื่น                        1,000   

                   เครดิตเงินสด/เงินฝากฯ         2,210


ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"



เรื่อง

การโอนขายคะแนนสะสม และการใช้คะแนนสะสมในการเติมน้ำมันในปั๊ม

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 30/08/2023 - วันที่ตอบ 06/10/2023

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีมูลค่าเพิ่ม,อากรแสตมป์

ข้อกฎหมาย

มาตรา 77/1 (9) และ (10), มาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

https://www.rd.go.th/27813.html

    จากข้อความ "ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของปั๊มน้ำมันจะเกิดขึ้นตอนที่ลูกค้าซื้อสินค้า (เติมน้ำมัน) โดยใช้คะแนนสะสมที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดในการชำระค่าสินค้า ซึ่งฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าดังกล่าวได้แก่มูลค่าทั้งหมดที่ปั๊มน้ำมันได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้านั้น ตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร"

รบกวนสอบถามอาจารย์ว่า

ปั๊มน้ำมันยังมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าหรือไม่คะ

วิสัชนา

ตามแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรตามหนังสือตอบข้อหารือเลขที่ กค 0702/7655 ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561 เรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และอากรแสตมป์ กรณีการโอนขายคะแนนสะสม ข้อกฎหมาย : มาตรา 77/1 (8)(9)(10) และ มาตรา 74/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรได้วินิจฉัยข้อหารือ กรณีมีการตกลงและยินยอมให้ลูกค้าสามารถโอนคะแนนสะสมจากบัตรหนึ่งไปยังอีกบัตรหนึ่งเพื่อใช้ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการทั้งสองรายดังกล่าวได้ ดังนี้

ข้อหารือ

    “หารือเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และอากรแสตมป์ กรณีโอนขายคะแนนสะสม มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

     1. ปัจจุบันบริษัทในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร โทรศัพท์เคลื่อนที่ ปั๊มน้ำมัน และสายการบิน ได้จัดให้มี Loyalty Program (บริษัทผู้ให้คะแนนสะสม) โดยให้ลูกค้าสมาชิกผู้ถือบัตรสมาชิกของตนสามารถสะสมคะแนนได้ เมื่อลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคคนสุดท้ายได้ซื้อสินค้าหรือรับบริการของบริษัทตามที่กำหนด ตัวอย่างเช่น ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ซื้อสินค้าหรือรับบริการ เติมน้ำมัน หรือใช้บัตรเครดิตครบตามยอดที่กำหนด โดยคะแนนสะสมที่ให้จะมีมูลค่าเทียบเท่าเงินสด

         ตัวอย่างเช่น ลูกค้าใช้จ่ายครบทุก 20 บาท จะได้รับคะแนนสะสม 1 คะแนน ซึ่ง 1 คะแนนสะสมจะมีมูลค่าเท่ากับเงินสด 0.20 บาท เป็นต้น คะแนนสะสมที่ได้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกค้าถือเป็นการให้ขาด เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขอื่นตามที่บริษัทผู้ให้คะแนนสะสมกำหนด และอาจกำหนดวันหมดอายุของคะแนน สะสม เมื่อลูกค้าได้รับคะแนนสะสมแล้ว สามารถนำคะแนนสะสมมาใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ใช้แทนเงินสด หรือแลกของสมนาคุณ เมื่อบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมให้คะแนนสะสมแก่ลูกค้า บริษัทจะทำการบันทึกบัญชีโดยตั้งหนี้เพื่อรอลูกค้ามาใช้สิทธิแลกคะแนนสะสม

     2. บริษัทผู้ให้คะแนนสะสมอาจบริหารคะแนนสะสมเอง เช่น มีระบบบันทึกคะแนนที่ได้รับ คะแนนที่ได้ใช้สิทธิ และคะแนนที่คงเหลือ หรืออาจจะว่าจ้างบุคคลที่สามให้มาบริหารคะแนนดังกล่าว

     3. เนื่องจากคะแนนสะสมมีมูลค่าและสามารถใช้แทนเงินสดหรือแลกสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จึงมีการดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคะแนนสะสม ดังนี้

         3.1 การโอนขายคะแนนสะสมระหว่างบริษัทผู้ให้คะแนนสะสม

              (1) เป็นการตกลงระหว่างบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมสองบริษัท ยินยอมให้มีการโอนคะแนนสะสมระหว่างกันสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกผู้ถือบัตรของทั้งสองบริษัท โดยให้ลูกค้าสามารถโอนคะแนนจากบัตรหนึ่งไปยังอีกบัตรหนึ่งได้ และจะถือว่าบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมที่ออกคะแนนสะสมให้ลูกค้าเป็นผู้ขายคะแนนสะสมให้อีกฝ่าย โดยราคาซื้อขายคะแนนจะกำหนดมูลค่าเทียบเท่าเงินสดสำหรับคะแนนของแต่ละฝ่ายตามแต่ที่ทั้งสองบริษัทจะตกลงกัน

              (2) การโอนขายคะแนนสะสมจะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าต้องการใช้คะแนนสะสมของบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมที่ 1 (บริษัทที่ 1) เพื่อนำมาใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น นำมาเป็นส่วนลดแทนเงินสดในการซื้อสินค้าของบริษัทที่ 1 ลูกค้าจึงทำรายการขอแลกคะแนนสะสมของบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมที่ 2 (บริษัทที่ 2) มาเป็นคะแนนสะสมของบริษัทที่ 1 เมื่อลูกค้าขอแลกคะแนนสะสมของบริษัทที่ 2 มาแล้ว บริษัทที่ 1 ต้องออกคะแนนสะสมของตนโอนไปให้ลูกค้า ซึ่งถือว่าคะแนนสะสมที่บริษัทที่ 1 โอนให้แก่ลูกค้านั้นเป็นการขายให้แก่บริษัทที่ 2 และทุกสิ้นเดือนบริษัทที่ 1 จะสรุปยอดคะแนนสะสมและเรียกเก็บค่าขายคะแนนสะสมไปยังบริษัทที่ 2

              ตัวอย่าง 1

              ลูกค้าเป็นสมาชิกของห้างและปั๊มน้ำมัน ลูกค้าต้องการใช้คะแนนสะสมของปั๊มน้ำมันไปเป็นส่วนลดในการเติมน้ำมัน 900 บาท แต่ลูกค้ามีคะแนนสะสมของปั๊มน้ำมัน 3,000 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับเงิน 450 บาท (กำหนดราคาขายคะแนนปั๊มในอัตราคะแนนละ 0.15 บาท คะแนนปั๊ม 3,000 คะแนนจึงเท่ากับเงิน 450 บาท (3,000 x 0.15 = 450)) และลูกค้ามีคะแนนห้าง 5,000 คะแนน ต้องการโอนคะแนนสะสมของห้าง 2,250 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับเงิน 450 บาท (คะแนนห้างคะแนนละ 0.20 บาท (2,250 x 0.20 = 450)) โดยโอนมาเป็นคะแนนปั๊ม 3,000 คะแนน (450 บาท) ทำให้ปั๊มน้ำมันต้องออกคะแนนสะสมของตนเองและขายคะแนน 3,000 คะแนนให้แก่ห้างคิดเป็นมูลค่า 450 บาท และนำไปรวมกับคะแนนปั๊มที่ลูกค้ามีอยู่ (450 + 450 = 900) เพื่อเติมน้ำมัน และสิ้นเดือนปั๊มจะสรุปยอดและเรียกเก็บค่าขายคะแนนสะสมที่โอนไปจำนวน 3,000 คะแนน คิดเป็นมูลค่า 450 บาท ไปยังห้าง (รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ 1)

         3.2 การโอนขายคะแนนสะสมให้บริษัทผู้ขอซื้อคะแนน บริษัทผู้ให้คะแนนสะสมแต่ละรายจะมีการออกคะแนนสะสมของตน และมีบริษัทคู่ค้าขอซื้อคะแนนสะสม (บริษัทผู้ขอซื้อคะแนน) โดยบริษัทผู้ขอซื้อคะแนนต้องการนำคะแนนสะสมของบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมไปแจกแก่ลูกค้าของตนตามเงื่อนไขส่งเสริมการขายที่ตนกำหนดกับลูกค้า บริษัทผู้ขอซื้อคะแนนอาจเป็นบริษัทที่มีการออกคะแนนสะสมของตนเองหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ ลูกค้าของบริษัทผู้ขอซื้อคะแนนดังกล่าว ต้องเป็นสมาชิกบัตรสะสมคะแนนของบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมด้วย โดยบริษัทผู้ขอซื้อคะแนนจะแจ้งรายชื่อลูกค้าและยอดสะสมที่ขอซื้อไปยังบริษัทผู้ให้คะแนนสะสม และบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมจะออกคะแนนให้ลูกค้าและโอนเข้าบัตรลูกค้าแต่ละรายดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทผู้ให้คะแนนสะสมจะกำหนดราคาขายคะแนนที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินสด เช่น บริษัทผู้ให้คะแนนสะสมตกลงขายคะแนนให้บริษัทผู้ซื้อคะแนน คะแนนละ 0.20 บาท รูปแบบการขายคะแนนอาจไม่ระบุจำนวนคะแนนที่จะขายล่วงหน้า แต่อาจกำหนดช่วงเวลาที่ลูกค้าสามารถได้รับคะแนน หรือขายแบบระบุจำนวนคะแนนที่ขายเป็นล็อตใหญ่ (bulk) ก็ได้

               ตัวอย่าง 2

               บริษัทผู้ให้คะแนนเป็นห้างสรรพสินค้า (ห้าง) ทำข้อตกลงขายคะแนนให้แก่บริษัทผู้ขอซื้อคะแนนซึ่งเป็นธนาคาร (ธนาคาร) โดยธนาคารกำหนดเงื่อนไขกับลูกค้าของตนซึ่งถือบัตรสมาชิกของห้างด้วย หากลูกค้าใช้บัตรเครดิตมียอดครบ 20,000 บาท ภายใน 1 เดือน ลูกค้าจะได้รับคะแนนสะสมของห้างจำนวน 500 คะแนน (คะแนนห้างคะแนนละ 0.20 บาท) เมื่อถึงสิ้นเดือนมีลูกค้าใช้บัตรเครดิตครบยอดตามที่กำหนด ธนาคารจะแจ้งชื่อลูกค้าไปยังห้าง และห้างจะโอนคะแนน 500 คะแนนให้แก่ลูกค้า โดยโอนเข้าบัตรของห้างซึ่งเป็นของลูกค้านั้น จากนั้นห้างจะเรียกเก็บค่าคะแนนสะสมจากธนาคารจำนวน 100 บาท (คะแนนห้างคะแนนละ 0.20 บาท จำนวน 500 คะแนน = 100 บาท) (รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ 1) 

  

ข้อหารือดังนี้

     1. การโอนขายคะแนนสะสมระหว่างบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมด้วยกัน และการโอนขายคะแนนสะสมให้แก่บริษัทผู้ขอซื้อคะแนน อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และอากรแสตมป์ หรือไม่

     2. กรณีบริษัทผู้ให้คะแนนว่าจ้างบริษัทบริหารคะแนนมาบริหารคะแนนสะสม ค่าตอบแทน ในการบริหารคะแนนดังกล่าวถือเป็นค่าบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และอากรแสตมป์ หรือไม่

แนววินิจฉัย

     1. การโอนคะแนนสะสมระหว่างผู้ออกคะแนนสะสมตาม 3.1 ตัวอย่างที่ 1

         ลูกค้าเป็นสมาชิกของห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมที่ 1 (ห้าง) และเป็นสมาชิกของบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมที่ 2 (ปั๊มน้ำมัน) โดยห้างและปั๊มน้ำมันได้มีการตกลงและยินยอมให้ลูกค้าสามารถโอนคะแนนสะสมจากบัตรหนึ่งไปยังอีกบัตรหนึ่งเพื่อใช้ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการทั้งสองรายดังกล่าวได้ ซึ่งกรณีตามข้อเท็จจริงลูกค้าต้องการใช้คะแนนสะสมของปั๊มน้ำมันแทนเงินสดในการเติมน้ำมัน 900 บาท แต่ลูกค้ามีคะแนนสะสมในบัตรของปั๊มน้ำมันเพียง 3,000 คะแนน ซึ่งเทียบเท่าเงินสด 450 บาท ลูกค้าจึงโอนคะแนนสะสมของห้าง 2,250 คะแนน (ซึ่งเทียบเท่าเงินสด 450 บาท) โอนมาเป็นคะแนนปั๊มน้ำมัน 3,000 คะแนน เมื่อนำคะแนนของห้างไปรวมกับคะแนนของปั๊มน้ำมันที่ลูกค้ามีอยู่ ลูกค้าสามารถนำคะแนนดังกล่าวไปใช้แทนเงินสดในการเติมน้ำมันในราคา 900 บาท และสิ้นเดือนปั๊มน้ำมันจะสรุปยอดและเรียกเก็บเงินจากห้าง 450 บาท สำหรับค่าคะแนนสะสมเท่าจำนวนมูลค่าน้ำมันที่ลูกค้าซื้อโดยใช้คะแนนสะสมที่ห้างโอนมานั้น เป็นกรณีห้างโอนคะแนนสะสมของลูกค้าผู้ถือบัตรเพื่อแลกเป็นคะแนนสะสมของปั๊มน้ำมัน ซึ่งเป็นการโอนคะแนนสะสมที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดเพื่อนำไปใช้ในการซื้อสินค้าหรือบริการ ไม่เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการ ตามมาตรา 77/1 (9) และ (10) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด ทั้งนี้ ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของปั๊มน้ำมันจะเกิดขึ้นตอนที่ลูกค้าซื้อสินค้า (เติมน้ำมัน) โดยใช้คะแนนสะสมที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดในการชำระค่าสินค้า ซึ่งฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าดังกล่าวได้แก่มูลค่าทั้งหมดที่ปั๊มน้ำมันได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้านั้น ตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร

     2. การโอนขายคะแนนสะสมให้บริษัทผู้ขอซื้อคะแนนตาม 3.2 ตัวอย่างที่ 2

         ลูกค้าเป็นสมาชิกผู้ใช้บัตรเครดิตของบริษัทผู้ขอซื้อคะแนน (ธนาคาร) และเป็นสมาชิกของบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้า (ห้าง) หากลูกค้าใช้บัตรเครดิตของธนาคารโดยมียอดใช้จ่ายครบ 20,000 บาท ภายใน 1 เดือน ลูกค้าจะได้รับคะแนนสะสมของห้างจำนวน 500 คะแนน (คะแนนห้างคะแนนละ 0.20 บาท) เมื่อถึงสิ้นเดือนธนาคารจะแจ้งชื่อลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตครบยอดตามที่กำหนดไปยังห้างและห้างจะโอนคะแนน 500 คะแนนให้แก่ลูกค้าแต่ละราย โดยโอนเข้าบัตรของห้างซึ่งเป็นของลูกค้านั้น จากนั้นห้างจะเรียกเก็บค่าคะแนนดังกล่าวจากธนาคารจำนวน 100 บาท ต่อลูกค้าหนึ่งราย กรณีดังกล่าวเป็นกรณีธนาคารขอซื้อคะแนนสะสมของห้าง เพื่อนำคะแนนสะสมของห้างไปแจกลูกค้าของตนเองซึ่งเป็นลูกค้าของห้างด้วย โดยห้างจะโอนคะแนนเพิ่มเติมเข้าไปในบัตรของลูกค้าตามรายชื่อที่ธนาคารแจ้ง และธนาคารจะชำระราคาค่าคะแนนสะสมให้แก่ห้าง ซึ่งคะแนนสะสมดังกล่าวจะมีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดตามที่ห้างกำหนดซึ่งลูกค้ายังไม่ได้นำคะแนนดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าหรือบริการ จึงเป็นการโอนคะแนนสะสมที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดเพื่อนำไปใช้ในการซื้อสินค้าหรือบริการ กรณีดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการ ตามมาตรา 77/1 (9) และ (10) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด

     3. กรณีการจ่ายเงินค่าคะแนนสะสมตาม 3.1 ตัวอย่างที่ 1 และตาม 3.2 ตัวอย่างที่ 2 ไม่เข้าลักษณะเป็นการจ่ายเงินได้พึงประเมินที่จะต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์แต่อย่างใด

     4. กรณีบริษัทผู้ให้คะแนนสะสมว่าจ้างให้บุคคลภายนอกมาบริหารคะแนนสะสม ซึ่งเป็นการบริหารจัดการในกระบวนการเกี่ยวกับการจัดทำระบบคะแนนสะสม อันคำนึงถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญเข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/1 (10) และมาตรา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เงินค่าตอบแทนที่บุคคลภายนอกได้รับนั้นจึงอยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 และกรณีดังกล่าวเข้าลักษณะแห่งตราสาร 4. จ้างทำของ แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์อยู่ในบังคับต้องเสียอากรแสตมป์ตามอัตราและวิธีการที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร



 

เลขตู้ : 81/40812



 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

    จากข้อความ "ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของปั๊มน้ำมันจะเกิดขึ้นตอนที่ลูกค้าซื้อสินค้า (เติมน้ำมัน) โดยใช้คะแนนสะสมที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดในการชำระค่าสินค้า ซึ่งฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าดังกล่าวได้แก่มูลค่าทั้งหมดที่ปั๊มน้ำมันได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้านั้น ตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร"

    ปั๊มน้ำมันยังมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร เข่นเดียวกับการรับชำระราคาด้วยเงินสด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"



2.2 ผู้ประกอบการเป็นผู้ให้ส่วนลดการค้า 

การได้รับคูปองส่วนลดโดยต้องให้ลูกค้าเข้าไปกด Code  หรือเก็บส่วนลดต่างๆ ตามช่องทางที่ผู้ขายระบุตามเงื่อนไข

ส่วนลดดังกล่าว ถือเป็น ส่วนลดการค้า ที่นำมาลดทันทีในตอนที่ซื้อสินค้า จึงถือเป็นส่วนลดที่ผู้ขายลดให้แก่ผู้ซื้อในขณะขายสินค้า ดังนั้น ในการออกใบกำกับภาษี จะต้องมีการนำส่วนลดดังกล่าวมาหักออกก่อน ที่จะคำนวณฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจะแสดงในใบกำกับภาษีไว้ด้วย ว่าได้มีการหักส่วนลดไว้แล้ว ตามมาตรา 79 (1) แห่งประมวลรัษฎากร


อย่างเคสนี้ ใบกำกับภาษีควรออกดังนี้  

มูลค่าสินค้า       (3,100 – 465 )       2,635.00

ภาษีมูลค่าเพิ่ม                                184.45   

รวม                                           2,819.45


มาตรา 79 ภายใต้บังคับมาตรา 79/1 ฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการ ได้แก่มูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ รวมทั้งภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในมาตรา 77/1 (19) ถ้ามีด้วย
 มูลค่าของฐานภาษีให้หมายความถึง เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการหรือประโยชน์ใด ๆ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน
             มูลค่าของฐานภาษีไม่ให้รวมถึง
                (1) 
ส่วนลดหรือค่าลดหย่อนที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ลดให้ในขณะขายสินค้าหรือให้บริการและได้หักส่วนลดหรือค่าลดหย่อนดังกล่าวออกจากราคาสินค้าหรือราคาค่าบริการ โดยได้แสดงให้เห็นไว้ชัดแจ้งว่าได้มีการหักส่วนลดหรือค่าลดหย่อนไว้ในใบกำกับภาษีในแต่ละครั้งที่ออกแล้ว ทั้งนี้ เว้นแต่ส่วนลดหรือค่าลดหย่อนในการขายสินค้าหรือให้บริการของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อตามมาตรา 86/6 หรือมาตรา 86/7 ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะไม่แสดงส่วนลดหรือค่าลดหย่อนดังกล่าวให้เห็นชัดแจ้งไว้ในใบกำกับภาษีอย่างย่อก็ได้




3. ขออ้างอิง ท่านอาจารย์สุเทพได้เขียนอธิบายเกี่ยวกับเรื่องส่วนลดไว้อย่างดีในทางภาษี ดังนี้


ในทางภาษีอากรจำแนกส่วนลดออกเป็นส่วนลดการค้า ส่วนลดเงินสด และส่วนลดพิเศษ ซึ่งแต่ละรายการอาจแสดงรายละเอียดได้ดังนี้

1ส่วนลดการค้า (Trade Discount) มาตรา 79 วรรคสาม (1) แห่งประมวลรัษฎากร

    1.1 วัตถุประสงค์: เพื่อเป็นเพิ่มยอดขายสินค้าหรือบริการ

    1.2 เงื่อนไข: ลดราคาให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการในทันทีขณะที่ขายสินค้าหรือให้บริการ

         กรณีให้ส่วนลดภายหลังการขาย จะไม่กระทบฐานภาษี เช่น ส่วนลดกรณีให้เช่าซื้อ (ดู ป. 36/2536) หรือส่วนลดเงินสด ส่วนลดพิเศษ

         ในการออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องแสดง "ส่วนลดการค้า" ให้เห็นชัดแจ้งไว้ในใบกำกับภาษีด้วย (แต่ทั้งนี้ ส่วนลดการค้าไม่ถือเป็นรายการตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร)  กรณีที่ไม่แสดงส่วนลดการค้าไว้ในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ต้องเสีย VAT จากราคาสินค้าหรือค่าบริการก่อนหักส่วนลดการค้า (ตามราคาเต็มก่อนให้ส่วนลดการค้า)

         กรณีออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ จะแสดงส่วนลดการค้าหรือไม่ก็ได้ (ตรรกะของยอดรัก สลักใจ!!!)

    1.3 ผล: ไม่ถือว่าส่วนลดการค้าเป็นมูลค่าของฐานภาษี (Non VAT Base) ให้ผู้ประกอบการนำส่วนลดการค้าไปหักออกจากฐานภาษีในการคำนวณภาษีขาย

         อนึ่ง กรณีให้ส่วนลดเงินสดสำหรับบริการเงินเชื่อ ให้นำส่วนลดเงินสดไปลดมูลค่าของฐานภาษีได้ เนื่องจาก ความรับผิดในการเสีย VAT เกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาค่าบริการ  

    1.4 ผู้ประกอบการที่ได้ให้ส่วนลดการค้าไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับส่วนลดการค้านั้น

    1.5 ผู้ประกอบการที่ได้รับส่วนลดการค้า ไม่ต้องนำส่วนลดการค้าไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope)


  

2.ส่วนลดเงินสด

    2.1 วัตถุประสงค์: เพื่อให้ลูกหนี้ ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการชำระหนี้เร็วขึ้น

    2.2 เงื่อนไข: ลดให้เมื่อชำระหนี้ตามกำหนด เช่น 2/10, n/30 ให้ส่วนลดเงินสด 2% หากชำระราคาภายใน 10 วัน กำหนดเวลาในการชำระภายใน 30 วัน

         ในการออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือให้บริการเงินเชื่อ จะยังไม่ปรากฏส่วนลดเงินสด  

    2.3 โดยทั่วไปส่วนลดเงินสดไม่ลดฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการเงินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ในกรณีการให้บริการเงินเชื่อที่ยังมิได้ออกใบกำกับภาษี สามารถนำส่วนลดเงินสดไปหักออกจากฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ เนื่องจากความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระค่าบริการตามมาตรา 78/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

    2.4 ผู้ประกอบการที่ได้ให้ส่วนลดเงินสด ไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับส่วนลดเงินสดนั้น (Non WT.)

    2.5 ผู้ประกอบการที่ได้รับส่วนลดเงินสด ไม่ต้องนำส่วนลดเงินสดไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) 

 
 

3.ส่วนลดพิเศษ

    3.1 วัตถุประสงค์: เพื่อการส่งเสริมการขาย

    3.2 เงื่อนไข: ลดให้ในโอกาสพิเศษ เช่น การให้ส่วนลดพิเศษเพื่อการส่งเสริมการขาย

         ในการออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป สำหรับการขายสินค้า โดยทั่วไปจะไม่แสดงเงื่อนไขการให้ส่วนลดพิเศษ เนื่องจาก ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ อาจกำหนดเงื่อนไขการให้ส่วนลดพิเศษในเอกสารการส่งเสริมการขายว่า จะให้ส่วนลดพิเศษประเภทใด

         • กำหนดให้นำส่วนลดที่ได้รับไปใช้เป็น "ส่วนลดการค้า" สำหรับการซื้อสินค้าหรือรับบริการในครั้งต่อ ๆ ไป (เพื่อการรักษาลูกค้า)  

         • กำหนดให้รางวัล หรือส่วนลด ที่นำไปหักออกจากหนี้ที่ต้องชำระ หรือรับคืนเป็นเงินสด หรือให้รางวัลเป็นสิ่งของ

    3.3 กรณีกำหนดให้ส่วนลดพิเศษมีคุณลักษณะเป็น "ส่วนลดการค้า" สำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในครั้งต่อ ๆ ไป ย่อมใช้ลดฐานภาษีได้เช่นเดียวกับการให้ส่วนลดการค้าทั่วไป

         กรณีกำหนดให้ส่วนลดพิเศษมีคุณลักษณะเป็น "ส่วนลดเงินสด" ย่อมไม่มีการลดฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่บริการเงินเชื่อที่ยังมิได้ออกใบกำกับภาษี เช่นเดียวกับการให้ส่วนลดเงินสดทั่วไป

    3.4 ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ที่ได้ให้ส่วนลดพิเศษแก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการดังต่อไปนี้  ให้ผู้ประกอบการที่ให้ส่วนลดพิเศษมีหน้าที่ต้องคำนวณหัก WT. ในอัตรา 3% ของส่วนลดพิเศษนั้น ตามข้อ 12/2 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้ พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528  

         (1) ผู้ซื้อสินค้าที่เป็นผู้จัดจำหน่าย (Dealer/ Distributor) ซึ่งซื้อสินค้าไปขายต่อ หรือตามพฤติการณ์ผู้ซื้อได้ซื้อสินค้าไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปขายต่อ ได้แก่ ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก หรือผู้ส่งออก  

         (2) ผู้รับบริการซึ่งผู้ให้บริการทราบโดยชัดแจ้งว่าผู้รับบริการนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อ หรือตามพฤติการณ์ผู้รับบริการมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อแน่นอน (ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 118/2545 ประกอบ)  

    3.5 ผู้ประกอบการที่ได้รับส่วนลดพิเศษ ไม่ต้องนำส่วนลดเงินสดไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope)


  

อ้างอิงคำตอบ

เรื่อง

ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการแจกสินค้าทดลอง คูปองส่วนลด และการส่งเสริมการขาย

แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร

วันที่

20/03/2006

เลขที่หนังสือ

กค 0706/พ./2334

ประเภทภาษี

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 79(4) แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

     บริษัทฯ ประกอบกิจการนำเข้าและจำหน่ายเครื่องสำอาง บริษัทฯ มีนโยบายส่งเสริมการขายหลายกรณีจึงขอทราบว่า
        1. กรณีแจกสินค้าตัวอย่างให้กับลูกค้าเพื่อส่งเสริมการขาย บริษัทฯ ต้องนำมูลค่าของสินค้าตัวอย่างที่แจกให้กับลูกค้ามารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
        2. กรณีแจกคูปองให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในแต่ละครั้งครบตามจำนวนที่บริษัทฯกำหนด ลูกค้ามีสิทธินำคูปองมาใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าในครั้งต่อไป บริษัทฯ จะออกใบกำกับภาษีตามราคาสินค้าหักด้วยมูลค่าคูปองทั้งจำนวนได้หรือไม่
        3. กรณีจัดรายการส่งเสริมการขาย โดยแจกคูปองให้ลูกค้าฟรีจากการที่ลูกค้าสะสมแต้มจากการซื้อสินค้าครบจำนวน จากการชิงโชค และจากการเล่นเกม โดยลูกค้ามีสิทธินำคูปองมาใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป บริษัทฯ จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีใด
        4. กรณีแจกสินค้าที่มีไว้เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้า เพื่อเป็นการทดลองใช้สินค้า มูลค่าของสินค้าที่แจกดังกล่าว บริษัทฯ จะต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

แนววินิจฉัย

     1. กรณีตาม 1 การแจกสินค้าตัวอย่างเพื่อส่งเสริมการขาย บริษัทฯ ไม่ต้องนำมูลค่าสินค้าตัวอย่างที่แจกเนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ ตามมาตรา 79(4) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(7) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) เรื่อง กำหนดลักษณะ และเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษี ตามมาตรา 79 (4)แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2535
      2. กรณีตาม 2 การแจกคูปองให้กับลูกค้าเพื่อให้ลูกค้านำคูปองมาใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าในครั้งต่อไป ซึ่งบริษัทฯ ให้ส่วนลดตามนั้น ถือเป็นส่วนลดที่ผู้ขายลดให้แก่ผู้ซื้อในขณะขายสินค้า ดังนั้น ในการออกใบกำกับภาษีให้ใช้ราคาสินค้าหักด้วยส่วนลดเป็นมูลค่าของฐานภาษี โดยแสดงให้เห็นไว้ชัดแจ้งว่า ได้มีการหักส่วนลดไว้แล้ว ทั้งนี้ ตามมาตรา 79 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
      3. กรณีตาม 3 การให้ส่วนลดในขณะขายสินค้าหรือให้บริการ บริษัทฯ ไม่ต้องนำส่วนลดดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด ส่วนการให้ส่วนลดหลังจากที่ขายสินค้าหรือให้บริการ หากการให้ส่วนลดดังกล่าวได้ให้กับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป เพื่อสนับสนุนหรือส่งเสริมการขายหรือการให้บริการ ส่วนลดนั้นถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ รายจ่ายในกรณีนี้ไม่ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร

 
     4. กรณีตาม 4 การแจกสินค้าที่มีไว้เพื่อจำหน่าย ให้ลูกค้าทดลองใช้สินค้าเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ต้องนำมูลค่าของสินค้าดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษี เพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

69/44000



เรื่อง

ส่วนลดการค้า ส่วนลดเงินสด และส่วนลดพิเศษ

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 14/05/2024 - วันที่ตอบ 17/05/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 79 วรรคสาม (1) แห่งประมวลรัษฎากร, คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528

ปุจฉา

สอบถามเรื่องส่วนลดที่ได้รับค่ะ

    เนื่องจากบริษัทซื้อรถยนต์นั่งเป็นเงินสดมูลค่า 1,000,000 บาท และได้ส่วนลดทันทีโดยระบุในใบกำกับภาษีภาษีว่าส่วนลด 70,000 บาท ราคาหลังหักส่วนลด 930,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 65,100 บาท รวมสุทธิ 995,100 บาท บริษัทฯ ซื้อรถยนต์บันทึกเป็นสินทรัพย์รวม VAT = 995,100 บาท

คำถามคือ

    1.จำนวนเงิน 70,000 บาท ถือเป็นรายได้บริษัทที่ซื้อรถยนต์โดยไปบวกเพิ่มใน ภ.ง.ด.50 หรือไม่

    2. ส่วนลดทุกอย่างที่ได้ต้องนำไปใส่ ภ.ง.ด.50 หมดเลยหรือไม่คะ ข้อแตกต่างดูจากอะไร

หมายเหตุสอบถามในมุมของผู้จ่ายเงินนะคะ

วิสัชนา

ในทางภาษีอากรจำแนกส่วนลดออกเป็นส่วนลดการค้า ส่วนลดเงินสด และส่วนลดพิเศษ ซึ่งแต่ละรายการอาจแสดงรายละเอียดได้ดังนี้

1ส่วนลดการค้า (Trade Discount) มาตรา 79 วรรคสาม (1) แห่งประมวลรัษฎากร

    1.1 วัตถุประสงค์: เพื่อเป็นเพิ่มยอดขายสินค้าหรือบริการ

    1.2 เงื่อนไข: ลดราคาให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการในทันทีขณะที่ขายสินค้าหรือให้บริการ

         กรณีให้ส่วนลดภายหลังการขาย จะไม่กระทบฐานภาษี เช่น ส่วนลดกรณีให้เช่าซื้อ (ดู ป. 36/2536) หรือส่วนลดเงินสด ส่วนลดพิเศษ

         ในการออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องแสดง "ส่วนลดการค้า" ให้เห็นชัดแจ้งไว้ในใบกำกับภาษีด้วย (แต่ทั้งนี้ ส่วนลดการค้าไม่ถือเป็นรายการตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร)  กรณีที่ไม่แสดงส่วนลดการค้าไว้ในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ต้องเสีย VAT จากราคาสินค้าหรือค่าบริการก่อนหักส่วนลดการค้า (ตามราคาเต็มก่อนให้ส่วนลดการค้า)

         กรณีออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ จะแสดงส่วนลดการค้าหรือไม่ก็ได้ (ตรรกะของยอดรัก สลักใจ!!!)

    1.3 ผล: ไม่ถือว่าส่วนลดการค้าเป็นมูลค่าของฐานภาษี (Non VAT Base) ให้ผู้ประกอบการนำส่วนลดการค้าไปหักออกจากฐานภาษีในการคำนวณภาษีขาย

         อนึ่ง กรณีให้ส่วนลดเงินสดสำหรับบริการเงินเชื่อ ให้นำส่วนลดเงินสดไปลดมูลค่าของฐานภาษีได้ เนื่องจาก ความรับผิดในการเสีย VAT เกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาค่าบริการ  

    1.4 ผู้ประกอบการที่ได้ให้ส่วนลดการค้าไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับส่วนลดการค้านั้น

    1.5 ผู้ประกอบการที่ได้รับส่วนลดการค้า ไม่ต้องนำส่วนลดการค้าไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope)


2.ส่วนลดเงินสด

    2.1 วัตถุประสงค์: เพื่อให้ลูกหนี้ ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการชำระหนี้เร็วขึ้น

    2.2 เงื่อนไข: ลดให้เมื่อชำระหนี้ตามกำหนด เช่น 2/10, n/30 ให้ส่วนลดเงินสด 2% หากชำระราคาภายใน 10 วัน กำหนดเวลาในการชำระภายใน 30 วัน

         ในการออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือให้บริการเงินเชื่อ จะยังไม่ปรากฏส่วนลดเงินสด  

    2.3 โดยทั่วไปส่วนลดเงินสดไม่ลดฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการเงินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ในกรณีการให้บริการเงินเชื่อที่ยังมิได้ออกใบกำกับภาษี สามารถนำส่วนลดเงินสดไปหักออกจากฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ เนื่องจากความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระค่าบริการตามมาตรา 78/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

    2.4 ผู้ประกอบการที่ได้ให้ส่วนลดเงินสด ไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับส่วนลดเงินสดนั้น (Non WT.)

    2.5 ผู้ประกอบการที่ได้รับส่วนลดเงินสด ไม่ต้องนำส่วนลดเงินสดไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) 



 

3.ส่วนลดพิเศษ

    3.1 วัตถุประสงค์: เพื่อการส่งเสริมการขาย

    3.2 เงื่อนไข: ลดให้ในโอกาสพิเศษ เช่น การให้ส่วนลดพิเศษเพื่อการส่งเสริมการขาย

         ในการออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป สำหรับการขายสินค้า โดยทั่วไปจะไม่แสดงเงื่อนไขการให้ส่วนลดพิเศษ เนื่องจาก ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ อาจกำหนดเงื่อนไขการให้ส่วนลดพิเศษในเอกสารการส่งเสริมการขายว่า จะให้ส่วนลดพิเศษประเภทใด

         • กำหนดให้นำส่วนลดที่ได้รับไปใช้เป็น "ส่วนลดการค้า" สำหรับการซื้อสินค้าหรือรับบริการในครั้งต่อ ๆ ไป (เพื่อการรักษาลูกค้า)  

         • กำหนดให้รางวัส หรือส่วนลด ที่นำไปหักออกจากหนี้ที่ต้องชำระ หรือรับคืนเป็นเงินสด หรือให้รางวัลเป็นสิ่งของ

    3.3 กรณีกำหนดให้ส่วนลดพิเศษมีคุณลักษณะเป็น "ส่วนลดการค้า" สำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในครั้งต่อ ๆ ไป ย่อมใช้ลดฐานภาษีได้เช่นเดียวกับการให้ส่วนลดการค้าทั่วไป

         กรณีกำหนดให้ส่วนลดพิเศษมีคุณลักษณะเป็น "ส่วนลดเงินสด" ย่อมไม่มีการลดฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่บริการเงินเชื่อที่ยังมิได้ออกใบกำกับภาษี เช่นเดียวกับการให้ส่วนลดเงินสดทั่วไป

    3.4 ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ที่ได้ให้ส่วนลดพิเศษแก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการดังต่อไปนี้  ให้ผู้ประกอบการที่ให้ส่วนลดพิเศษมีหน้าที่ต้องคำนวณหัก WT. ในอัตรา 3% ของส่วนลดพิเศษนั้น ตามข้อ 12/2 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้ พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528  

         (1) ผู้ซื้อสินค้าที่เป็นผู้จัดจำหน่าย (Dealer/ Distributor) ซึ่งซื้อสินค้าไปขายต่อ หรือตามพฤติการณ์ผู้ซื้อได้ซื้อสินค้าไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปขายต่อ ได้แก่ ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก หรือผู้ส่งออก  

         (2) ผู้รับบริการซึ่งผู้ให้บริการทราบโดยชัดแจ้งว่าผู้รับบริการนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อ หรือตามพฤติการณ์ผู้รับบริการมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บริการต่อแน่นอน (ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 118/2545 ประกอบ)  

    3.5 ผู้ประกอบการที่ได้รับส่วนลดพิเศษ ไม่ต้องนำส่วนลดเงินสดไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope)


 ต่อข้อถามขอเรียนว่า

กรณีบริษัทฯ ขายรถยนต์นั่งเป็นเงินสดมูลค่า 1,000,000 บาท และได้ส่วนลดการค้าในทันทีที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ โดยระบุในใบกำกับภาษีภาษีว่าส่วนลด 70,000 บาท ราคาหลังหักส่วนลด 930,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 65,100 บาท รวมสุทธิ 995,100 บาท ซึ่งบริษัทฯ ผู้ซื้อรถยนต์นำไปบันทึกเป็นสินทรัพย์รวม VAT = 995,100 บาท นั้น

1. ส่วนลดการค้าจำนวนเงิน 70,000 บาทดังกล่าว ไม่ถือเป็นรายได้บริษัทที่ซื้อรถยนต์ แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการลดราคาสินค้ารถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อ ในทางตรงกันข้ามส่วนลดการค้า ก็ไม่ถือเป็นรายจ่ายของผู้ขาย เพราะได้นำไปหักออกจากมูลค่าของสินค้าที่ขาย ผู้ซื้อจึงไม่ต้องนำไปแสดงเป็นรายได้อื่นในแบบ ภ.ง.ด.50 ในทำนองเดียวกัน บริษัทฯ ก็ไม่ต้องนำส่วนลดการค้าไปแสดงเป็นรายจ่ายอื่นในแบบ ภ.ง.ด.50 ด้วยเช่นเดียวกัน


2. ส่วนลดที่ได้ต้องนำไปใส่ ภ.ง.ด.50 ได้แก่

    (1) ส่วนลดเงินสด และ

    (2) ส่วนลดพิเศษ

    ข้อแตกต่างพิจารณาจากหลักเกณฑ์ข้างต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะคลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์



เรื่อง

การขายคูปองส่วนลดสำหรับการขายสินค้า

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 30/01/2020 - วันที่ตอบ 23/03/2020

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ปุจฉา

สวัสดีค่ะ อาจารย์
 หนูมีประเด็นการขาย deal ผ่าน shopee
 ว่าจุด tax point 
เกิดขึ้นเมื่อขายคูปองส่วนลด หรือเกิดตอนทำเสริฟลูกค้าค่ะ

อีกประเด็นค่ะ บ.ขาย gift voucher โดยมีการพ่วงตั๋วหนัง เคริ่องดื่ม ที่มิใช่สินค้าของกิจการจุด tax point เกิดตอนไหนค่ะทางร้านจะมีจำหน่ายคูปองแทนเงินสด โดยเป็น gift voucher มูลค่า 1,000 บาทจุด tax point เกิดตอนไหนค่ะขอบพระคุณค่ะ

วิสัชนา

     1. การขายคูปองส่วนลดสำหรับการขายสินค้า นั้น กรณีแป็นเช่นเดียวกับการขาย Gift Voucher หรือบัตรกำนัลของกิจการห้างสรรพสินค้า นั่นเอง ในขณะที่มีการขายคูปองส่วนลด จึงยังไม่เกิดความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax Point) แต่อย่างใด เพราะคูปองส่วนลดเป็นรายการเทียบเท่าเงินสด ต้องรอให้ลูกค้านำคูปองส่วนลดมาใช้ (Exercise) ในการซื้อสินค้าของบริษัทฯ จึงจะเกิดความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการขายสินค้าสำหรับส่วนลดที่เกิดจากการใช้คูปอง ย่อมเป็นส่วนลดการค้าที่บริษัทฯ ให้แก่ลูกค้าในขณะที่มีการขายสินค้า จึงไม่นับรวมเป็นมูลค่าของฐานภาษี เนื่องจากคูปองส่วนลด ถือเป็น “รายการเทียบเท่าเงินสด” บริษัทฯ จึงพึงต้องจัดทำสมุดทะเบียนไว้ให้ชัดแจ้ง พร้อมกับบันทึกรายการทางบัญชีไว้เป็นหลักฐาน มีการควบคุมภายใน พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบได้ทันที
      

 
     2. กรณีขายคูปองส่วนลดพร้อมกับบัตรชมภาพยนตร์ หรือซื้อเครื่องดิ่ม ซึ่งไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ต้องแยกพิจารณาออกเป็นสองส่วนคือ
              ส่วนที่หนึ่ง การขายคูปองส่วนลด มีหลักการเช่นเดียวกับข้อ 1 ข้างต้น
              ส่วนที่สอง สำหรับมูลค่าบัตรชมภาพยนตร์ หรือเครื่องดิ่ม ซึ่งจัดเป็นการให้บริการ บริษัทฯ ต้องนำมาถือเป็นมูลค่าของฐานภาษีในขณะที่ส่งมอบคูปองส่วนลดพร้อมบัตรชมภาพยนตร์ หรือเครื่องดิ่ม แล้วแต่กรณี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะคลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"

หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ