หลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 3 (4) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 704) ฯ ลงวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไปดังต่อไปนี้ “ข้อ 2 ในประกาศนี้ “รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ” หมายความว่า รายจ่ายเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะในประเทศไทย เช่น การสงเคราะห์ผู้ยากไร้ผู้ด้อยโอกาส และหมายความรวมถึงรายจ่ายเพื่อการรณรงค์ส่งเสริมหรือปลูกจิตสํานึกต่อสังคม การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และรายจ่ายเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาและรายจ่ายเพื่อการกีฬา ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 44) เรื่อง กำหนดรายจ่ายเพื่อการสาธารณประโยชน์รายจ่ายเพื่อการศึกษาและรายจ่ายเพื่อการกีฬา ตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2535 ข้อ 3 มูลนิธิที่ประสงค์จะขอให้พิจารณาประกาศเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล จะต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีคําขอเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อกรมสรรพากรเพื่อพิจารณาเสนอกระทรวงการคลัง ข้อ 4 ชื่อของมูลนิธิต้องไม่ปรากฏข้อความว่า“บริษัทจํากัด” “บริษัทมหาชนจํากัด” “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” “ห้างหุ้นส่วนจํากัด” หรือ “ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” หรือข้อความอื่นใดที่มีความหมายในลักษณะทํานองเดียวกัน ข้อ 5 มูลนิธิต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะในประเทศไทยเท่านั้น และต้องไม่มีวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ข้อ 6 การดําเนินงานของมูลนิธิต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เท่านั้น และต้องไม่มีการใช้ชื่อของมูลนิธิหรือไม่มีการดําเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อหาประโยชน์เฉพาะแก่บุคคล คณะบุคคลหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ข้อ 7 กรมสรรพากรจะตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการดําเนินงานของมูลนิธินั้นก่อน เช่น รายงานการประชุมใหญ่ งบดุลและบัญชีรายได้รายจ่ายซึ่งมีผู้สอบบัญชีรับรองแล้ว เอกสารหลักฐานที่นํามาบันทึกบัญชีรายได้หรือรายจ่าย เป็นต้น โดยจะตรวจสอบการดําเนินงานของมูลนิธิย้อนหลัง 3 รอบระยะเวลาบัญชีและจะต้องปรากฏดังต่อไปนี้ (1) รายได้ของมูลนิธิได้นําไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ทั้งสิ้นใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา เว้นแต่ (ก) ตราสารจัดตั้งระบุว่า ให้นําดอกผลมาเป็นรายได้เท่านั้น หรือให้นําดอกผลมาใช้จ่ายเท่านั้น (ข) กรณีมีเหตุจำเป็นต้องเก็บสะสมรายได้เพื่อดำเนินการตามโครงการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ (2) รายได้ของมูลนิธิต้องไม่ได้มาจากการซื้อขายหรือการให้บริการโดยมีค่าตอบแทนเป็นปกติธุระ เว้นแต่การซื้อขายหรือการให้บริการนั้นเกี่ยวข้องกับการศาสนา การศึกษา การสถานพยาบาล หรือการสังคมสงเคราะห์ และไม่นํารายได้ดังกล่าวไปจ่ายในทางอื่น (3) รายจ่ายของมูลนิธิต้องเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของรายจ่ายทั้งสิ้นใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา และรายจ่ายดังกล่าวได้นําไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของรายจ่ายทั้งสิ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี (4) รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะของมูลนิธิต้องกระจายเป็นการทั่วไปตามวัตถุประสงค์ที่จดแจ้งไว้หรือไม่ได้จ่ายไปเพื่อประโยชน์แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง “รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะต้องกระจายเป็นการทั่วไปตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า มูลนิธิต้องไม่มีรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเกิน กว่าร้อยละ 35 ของรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะทั้งสิ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี เว้นแต่เป็นรายจ่ายให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล” (แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 717)ฯ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป) ข้อ 8 มูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นยังไม่ครบ 3 รอบระยะเวลาบัญชีซึ่งแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีไม่ครบ 12 เดือน จะไม่พิจารณาประกาศให้ ข้อ 9 องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษาใดที่มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลจะไม่พิจารณาประกาศให้ เว้นแต่จะมีวัตถุประสงค์และการดําเนินงานเช่นเดียวกับมูลนิธิที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล จะพิจารณาประกาศให้เป็นราย ๆ ไป ในหลักเกณฑ์เดียวกัน ข้อ 10 มูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษาใดที่มีวัตถุประสงค์และการดําเนินงานไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้อ ๓ ถึงข้อ 9 จะไม่ประกาศให้ เว้นแต่ (1) เป็นมูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษาในพระบรมราชูปถัมภ์ พระบรมราชินูปถัมภ์ พระอุปถัมภ์ของพระบรมวงศานุวงศ์หรือพระสังฆราชูปถัมภ์หรือมีบุคคลซึ่งได้รับเงินค่าใช้จ่ายในพระองค์จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป หรือสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ (2) เป็นมูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษาที่ทางราชการจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติ การก่อการร้าย หรือเพื่อการศึกษาเป็นการทั่วไป ข้อ 11 มูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษา ที่ได้รับการประกาศให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล เว้นแต่สภากาชาดไทย วัดวาอาราม และสถานพยาบาลหรือสถานศึกษาขององค์การของรัฐบาล จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ (1) ใบรับที่ออกให้แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งซึ่งบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ให้ระบุลำดับที่ได้รับการประกาศด้วย (2) ส่งรายงานการประชุมใหญ่ งบดุลและบัญชีรายได้รายจ่าย พร้อมทั้งรายงานการดําเนินงานของกิจการ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาให้กรมสรรพากร ทราบภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี โดยยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่มูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษานั้นตั้งอยู่ ข้อ 12 มูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษาใดที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและได้รับการประกาศให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลแล้ว ต่อมาได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อหรือวัตถุประสงค์ต่อนายทะเบียน ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อกรมสรรพากรภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้น เว้นแต่กรณีมูลนิธิองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลหรือสถานศึกษาซึ่งไม่ได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อหรือวัตถุประสงค์ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อหรือวัตถุประสงค์ต่อกรมสรรพากรภายใน 60 วันนับแต่วันที่คณะกรรมการของมูลนิธิ องค์การสถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษานั้นได้มีมติให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข ข้อ 13 มูลนิธิ องค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล หรือสถานศึกษา ที่ได้รับการประกาศให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลแล้ว ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่องค์การหรือสถานสาธารณกุศลนั้นตั้งอยู่ ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับผลการดําเนินงาน หากปรากฏว่าการดําเนินงานเข้าลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้โดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้แจ้งผลการตรวจสอบให้กรมสรรพากรทราบเพื่อพิจารณาเสนอกระทรวงการคลังเพิกถอนการประกาศต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีถัดจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ประกาศเพิกถอนในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (1) การดําเนินงานขององค์การหรือสถานสาธารณกุศลไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ หรือมีวัตถุประสงค์ หรือมีการใช้ชื่อองค์การหรือสถานสาธารณกุศลหรือการดําเนินงานของคณะกรรมการขององค์การหรือสถานสาธารณกุศลเป็นไปเพื่อประโยชน์เฉพาะแก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง (2) รายได้ขององค์การหรือสถานสาธารณกุศลได้นําไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ทั้งสิ้นใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา เว้นแต่รายได้เฉพาะดอกผลขององค์การหรือสถานสาธารณกุศลได้นําไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ดอกผลของใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา ทั้งนี้ เฉพาะกรณีตราสารจัดตั้งระบุว่าให้นําดอกผลมาเป็นรายจ่ายเท่านั้น หรือกรณีมีเหตุจําเป็นต้องเก็บสะสมรายได้เพื่อดําเนินการตามโครงการตามวัตถุประสงค์ขององค์การหรือสถานสาธารณกุศลนั้น (3) รายได้ได้มาจากการซื้อขายหรือการให้บริการโดยมีค่าตอบแทนเป็นปกติธุระ เว้นแต่การซื้อขายหรือการให้บริการนั้นเกี่ยวข้องกับการศาสนา การศึกษา การสถานพยาบาล หรือการสังคมสงเคราะห์และไม่นํารายได้ดังกล่าวไปจ่ายในทางอื่น (4) รายจ่ายขององค์การหรือสถานสาธารณกุศลเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ 65 ของรายจ่ายทั้งสิ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีและรายจ่ายดังกล่าวได้นําไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ 75 ของรายจ่ายทั้งสิ้นใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา เว้นแต่กรณีมีเหตุอันสมควร (5) รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะขององค์การหรือสถานสาธารณกุศลไม่กระจายเป็นการทั่วไป (6) องค์การหรือสถานสาธารณกุศลไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๑ หรือข้อ 12 ข้อ 14 องค์การหรือสถานสาธารณกุศลที่ถูกเพิกถอนการประกาศแล้ว หากประสงค์จะขอให้พิจารณาประกาศเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลใหม่ สามารถยื่นคําขอได้เมื่อพ้น 3 รอบระยะเวลาบัญชีนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีถัดจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ประกาศเพิกถอนในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า มูลนิธิที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดให้เป็นองค์การกุศลสาธารณะตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเมื่อบุคคลธรรมดาบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิดังกล่าว ย่อมสามารถนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ และตามมาตรา 3 (4) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนบริจาคสินค้า จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังเช่นการบริจาคให้แก่องค์การกุศลสาธารณะอื่นๆ อาทิ สถานศึกษาของทางราชการ สถานพยาบาลของทางราชการ วัดวาอาราม สภากาชาดไทย โรงเรียนเอกชนที่ประกอบกิจการในรูปนิติบุคคล สถาบันอุดมศึกษเอกชน หอสมุด ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ของเอกชนที่เปิดให้ใช้เป็นการสาธารณะโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุงหรือเงินสนับสนุนใด ๆ และหอสมุด ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ของทางราชการ และกองทุนผู้สูงอายุตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ และ สถานพักฟื้น บำบัดและฟื้นฟูเด็ก คนชรา ผู้พิการของเอกชนที่ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุงหรือเงินสนับสนุนใด ๆ หรือสถานพักฟื้น บำบัด ฟื้นฟูเด็ก คนชรา ผู้พิการของทางราชการตามประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 2) เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 3 (4) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534
เครดิต อาจารย์ หยี พูนพิศ ชวลิตนิธิกุล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์" |