Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

จ่ายค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหาร ให้แก่กรรมการ หรือ พนักงาน /จ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ให้แก่พนักงาน บางคน
เรื่อง | จ่ายค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหาร ให้แก่กรรมการ หรือ พนักงาน /จ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ให้แก่พนักงาน บางคน |
แหล่งที่มา | Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ |
วันที่ | วันที่ถาม 20/04/2018 - วันที่ตอบ 20/04/2018 |
ประเภทภาษี | ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม |
ข้อกฎหมาย | มาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 |
ปุจฉา | ขอสออบถามอาจารย์ค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า 1. บริษัท มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหาร ให้แก่กรรมการ หรือ พนักงาน เพื่อไปควบคุมงานที่ของบริษัทฯที่ตั้งอยู่อีกแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด โดยจ่ายให้ในทุกๆ เดือน ที่ไปเป็นประจำ รายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัท ได้หรือไม่ และ/หรือ ต้องบวกเป็นเงินได้ของกรรมการ หรือ พนักงานน้้นๆ ด้วยหรือไม่ 2. บริษัท มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ให้แก่พนักงานบางคน เพื่อให้ทำงานประจำที่สำนักงานของบริษัท ที่อยู่ต่างจังหวัด ให้ในทุกๆ เดือน (ตามบิลเรียกเก็บ) ค่าใช้จ่ายดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายของบริษัทได้หรือไม่ และ/หรือ ต้องบวกเป็นเงินได้ของพนักงานนั้นๆ ด้วยหรือไม่ 3. บริษัท มีห้องพักที่เป็นของบริษัท สร้างไว้ให้พนักงานบางตำแหน่ง เพื่อพักอาศัยในขณะที่ต้องทำงานประจำที่บริษัทที่ต่างจังหวัด ค่าน้ำ/ไฟ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับอาคารที่พัก ถือเป็นรายจ่ายของบริษัทได้หรือไม่ และ/หรือ ต้องนำมารวมเป็นเงินได้ของพนักงานด้วยหรือไม่ |
วิสัชนา | วิสัชนา: 1. บริษัทฯ มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหาร ให้แก่กรรมการ หรือพนักงาน เพื่อไปควบคุมงานที่ของบริษัทฯที่ตั้งอยู่อีกแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด โดยจ่ายให้ในทุกๆ เดือน ที่ไปเป็นประจำ (1) รายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ ได้ เพราะเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ (2) กรณีต้องบวกเป็นเงินได้ของกรรมการ หรือ พนักงานนั้นๆ ด้วย ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 ดังนี้ "มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ (1) ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าพาหนะ ซึ่งลูกจ้างหรือผู้รับหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะ ในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 "ข้อ 1 ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่ลูกจ้างหรือผู้มีหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือผู้รับทำงานให้ ได้รับเนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเข้าลักษณะดังนี้ (1) ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น (2) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนดจ่ายให้แก่ข้าราชการ ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลดังกล่าวได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น โดยไม่ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินมาพิสูจน์ (3) ในกรณีบุคคลดังกล่าวได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม (2) และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เพียงเฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม (2) ข้อ 2 การเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามข้อ 1 ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสำนักงานหรือนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้ โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณีด้วย" 2. บริษัทฯ มีการจ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ให้แก่พนักงาน บางคน เพื่อให้ทำงานประจำที่สำนักงานของบริษัท ที่อยู่ต่างจังหวัด ให้ในทุกๆ เดือน (ตามบิลเรียกเก็บ) ค่าใช้จ่ายดังกล่าว (1) รายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ ได้ เพราะเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ (2) กรณีต้องบวกเป็นเงินได้ของพนักงานคนนั้นๆ ด้วย เพราะไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ไดรับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 59/2538 3. บริษัทฯ มีห้องพักที่เป็นของบริษัทฯ สร้างไว้ให้พนักงาน บางตำแหน่ง เพื่อพักอาศัย ในขณะ ที่ต้องทำงานประจำที่บริษัท ที่ต่างจังหวัด ค่าน้ำ/ไฟ คชจ.อันเกี่ยวกับ อาคารที่พัก ดังกล่าว (1) รายจ่ายข้างต้นถือเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ ได้ เพราะเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ (2) กรณีต้องบวกเป็นเงินได้ของพนักงานคนนั้นๆ ด้วย ซึ่งกรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 23/2529 ดังนี้ "ข้อ 1 กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้กำหนดมูลค่าจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ดังต่อไปนี้ (1) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินในอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี (2) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่า ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มตามเกณฑ์ใน (1) เป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างแต่ละคน (3) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างหลังเดียวอยู่รวมกันโดยไม่เสียค่าเช่าตาม (1) ไม่ว่าจะเป็นการโต้แย้งในชั้นการตรวจสอบไต่สวนหรือในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินค่าเช่าของบ้านนั้น ๆ ว่าสมควรให้เช่าได้ตามปกติปีละเท่าใด และให้ทำบันทึกการประเมินไว้เป็นหลักฐานแล้วรายงานขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมสรรพากร และใหถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผุ้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป (4) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (3) หลังเดียวอยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่ประเมินได้ตาม (3) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี และให้ถือว่าค่าเช่าบ้านที่ได้ทำการประเมินนี้เป็นเงินได้ของลูกจ้างที่จะนำมาทำการประเมินหรือพิจารณาชี้ขาดของเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินได้ในปีภาษีต่อไปด้วย เว้นแต่มีข้อเท็จจริงหรือสภาพของบ้านเปลี่ยนแปลงไป (5) กรณีลูกจ้างได้อยู่บ้านของนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่าและเป็นบ้านที่นายจ้างได้ไปเช่าจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง ให้คำนวณประโยชน์เพิ่มจากการนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามค่าเช่าที่นายจ้างได้จ่ายไปจริง (6) กรณีลูกจ้างหลายคนได้บ้านของนายจ้างตาม (5) อยู่รวมกัน ให้เฉลี่ยค่าเช่าบ้านที่นายจ้างได้จ่ายไปจริงตาม (5) เป็นเงินได้ของลูกจ้างแต่ละคนตามส่วนของเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งเงินเพิ่มตลอดปี (ถ้ามี) โดยไม่รวมเงินโบนัสที่จ่ายเป็นรายปี" ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ |