Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

การรับรู้รายได้จากการขายฝากที่ดิน


เรื่อง การรับรู้รายได้จากการขายฝากที่ดิน
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 07/11/2022 - วันที่ตอบ 07/11/2022
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อกฎหมาย มาตรา 491 แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา

รายได้จากการขายฝากที่ดินรับรู้รายได้อย่างไรค่ะ คือ ลูกค้ามากู้เงินโดยเอาที่ดินมาค้ำประกัน แล้วทางบริษัทรับรู้รายได้ดอกเบี้ยตามงวด แต่ทางภาษีรับรู้รายได้ดอกเบี้ยตามงวดเหมือนบัญชี หรือ เมื่อลูกค้ามาไถ่ถอนที่ดิน ค่ะ  

วิสัชนา
1. การขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 491 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถือเป็นการ "ขาย" ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร 
    1.1 กรณีผู้ขายฝากมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
          (1) เมื่อผู้ขายฝากนำอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก อสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางค้าหรือหากำไร ไปขายฝากแก่ผู้รับซื้อฝาก ผู้รับซื้อฝากซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (5) แห่งประมวลรัษฎากร และผู้ขายฝากซึ่งได้รับเงินได้จากการขายฝาก ไม่ว่าจะมีการไถ่ถอนทรัพย์สินที่ขายฝากในปีเดียวกับที่ขายฝากหรือไม่ก็ตาม บทบัญญัติตามมาตรา 491 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็ไม่อาจลบล้างบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการขายตามความในประมวลรัษฎากรได้ จึงไม่มีกรณีที่จะต้องคืนภาษีอากรให้แก่ผู้ขายฝากแต่อย่างใด เพราะกรรมสิทธิ์ได้โอนไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว จึงถือว่า ผู้ขายฝากเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แต่ทั้งนี้ ผู้ขายฝากจะเลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นตามมาตรา 48 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ได้  
          (2) กรณีผู้ขายฝากนำอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางค้าหรือหากำไร ไปขายฝากแก่ผู้รับซื้อฝาก บริษัทฯ ผู้รับซื้อฝากซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (5) แห่งประมวลรัษฎากร และผู้ขายฝากซึ่งได้รับเงินได้จากการขายฝากถือเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องนำเงินได้จากการขายฝากในกรณีดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น โดยไม่มีสิทธิเลือกเสียภาษีตามจำนวนที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 48 (4) แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ดี หากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางค้าหรือหากำไรดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541 ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้วผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกไม่ต้องนำเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ดังกล่าวไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 376) พ.ศ. 2544 
    1.2 กรณีผู้ขายฝากมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 
          การขายฝากอสังหาริมทรัพย์เข้าลักษณะการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการเฉพาะของนิติบุคคล ที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541 บริษัทฯ ผู้รับซื้อฝากซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตรา 1% ของราคาขายอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร 

2. กรณีการรับไถ่อสังหาริมทรัพย์จากการขายฝาก หรือการไถ่อสังหาริมทรัพย์จากการขายฝากโดยการวางทรัพย์ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2541 ทรัพย์สินที่ขายฝากย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์ตามมาตรา 492 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2541 บริษัทฯ ผู้รับซื้อฝากต้องนำสินไถ่ที่ได้รับไปรวมเป็นรายได้ ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อคำนวณกำไรสุทธิ และเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยผู้ขายฝากมีหน้าที่ต้องคำนวฯหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โดยถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่ธรรมเนียมตามกฎหมายที่ดิน 

3.  กรณีผู้ขายฝากไม่มาไถ่ถอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวคืนภายในกำหนดเวลาตามสัญญา บริษัทฯ ผู้รับซื้อฝากย่อมได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยเด็ดขาดจากการขายฝาก เข้าลักษณะเป็นรายเนื่องจากกิจการ ตามมาตรา 65 แ่ห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ผู้รับซื้อฝากต้องนำไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคค โดยให้ถือตามราคาหรือค่าอันพึงมีในวันที่ได้รับทรัพย์สินนั้น (ในวันที่อสังหาริมทรัพย์หลุดเป็นสิทธิ์โดยเด็ดขาด) ตามมาตรา 9 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้เทียบกับราคาตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันโดยสุจริตในบริเวณเดียวกัน ซึ่งมีสภาพเดียวกันกับอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในวันที่ได้รับกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด ราคาตลาดดังกล่าวไม่ได้หมายถึงราคาประเมินที่ใช้เป็นทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินในวันที่ได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด เว้นแต่กรณีไม่อาจหาราคาหรือค่าอันพึงมีของอสังหาริมทรัพย์ได้ ให้ถือราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดยเด็ดขาดจากการขายฝากนั้น 

4. กรณีไถ่ถอนเกินกำหนดเวลา และผู้รับซื้อฝากยินยอมให้ไถ่ถอน การไถ่ถอนดังกล่าวถือเป็นการ “ขาย” ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ผู้รับซื้อฝากจะต้องนำเงินได้จากการ “ขาย” ดังกล่าว ไปคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร  และผู้ขายฝากซึ่งได้ไถ่ถอนเกินกำหนดเวลา มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร  
    อนึ่ง ในขณะที่กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์หลุดเป็นสิทธิของผู้รับซื้อฝากโดยเด็ดขาด ถือว่าผู้รับซื้อฝากมีรายได้เนื่องจากกิจการตามข้อ 3 ดังกล่าวข้างต้น 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
    กรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการรับซื้อฝากอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 491 แห่งประมวลรัษฎากร การรับรู้รายได้จากการขายฝากที่ดินในทางภาษีอากร ให้รับรู้รายได้ เมื่อลูกค้ามาไถ่ถอนที่ดิน ตามข้อ 3 ดังกล่าวข้างต้น



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ