ตอบ เรื่องภาษีเกี่ยวกับ freight forwarder มีความละเอียดอ่อน กรณีข้อมูลเปลี่ยนแปลง การวิเคราะห์ภาษีก็จะเปลี่ยนแปลง อย่างไรขอแนะนำว่า บริษัทต้องพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบด้วย (โดยมากเราจึงมัก หักภาษี ณ ที่จ่ายตามที่ Supplier Shipping แต่ละราย สรุปมาให้เนื่องจากว่า Supplier Shipping เหล่านั้น เค้าจะรู้รายละเอียดของบริษัทตนเองอย่างดีค่ะ อย่างไรก็ตาม ทางเราขอตอบคำถามเบื้องต้นที่พบโดยทั่วไป ซึ่งอาจใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาเบื้องต้นได้ค่ะ สำหรับการขนส่งสินค้าเพื่อการนำเข้าส่งออก ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างไรนั้น ก่อนอื่นต้องแยกว่า บริษัทกำลังใช้ Supplier ประเภทใด ระหว่าง Shipping Line (ผู้ให้บริการขนส่งโดยตรง) กับ Freight Forwarder (ตัวแทนรับจัดการขนส่ง) ตารางเปรียบเทียบระหว่าง Shipping Line และ Freight Forwarder หัวข้อ | Shipping Line (สายเรือ / สายการบิน) | Freight Forwarder (ตัวแทนขนส่ง) | ลักษณะธุรกิจ | เจ้าของพาหนะขนส่งเอง เช่น เรือขนส่งสินค้า, เครื่องบินขนส่งสินค้า | ตัวกลางจัดการขนส่งสินค้าให้ลูกค้า โดยประสานงานกับสายเรือ, สายการบิน และอื่น ๆ | บทบาทหลัก | ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยตรง | วางแผน จัดการเอกสาร และประสานงานขนส่งในภาพรวมให้ลูกค้า | ทรัพย์สินที่ใช้ในการขนส่ง | มีเรือหรือเครื่องบินของตนเอง | ไม่มีพาหนะขนส่งเป็นของตนเอง ใช้ของผู้ให้บริการขนส่งอื่น | ให้บริการกับใคร | ลูกค้าที่มีปริมาณสินค้าจำนวนมาก หรือ Freight Forwarder | ผู้ส่งออก–ผู้นำเข้าทั่วไป (รายใหญ่และรายย่อย) | บริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | ส่วนใหญ่เน้นเฉพาะการขนส่ง | มีบริการครบวงจร เช่น จัดเอกสาร, พิธีการศุลกากร, คลังสินค้า, ประกันภัย | รูปแบบการออกเอกสาร | ออกใบตราส่ง (Bill of Lading หรือ Air Waybill) ในนามตนเอง | ออก House B/L หรือ House AWB ในนามตัวเอง และใช้ Master B/L จาก Shipping | รายได้หลัก | ค่าระวาง (Freight) | ค่าบริการขนส่ง (รวมค่าจัดการอื่น ๆ) + ค่าธรรมเนียม |
ภาระภาษี ของ Freight Forwarder (ตัวแทนขนส่ง) ค่าบริการทุกอย่าง Vat 7% WHT 3% ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0ของค่าบริการ (Handling Charge) นั้น ตามข้อ 12/1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
"ข้อ 12/1 ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการอื่น ๆ นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดไว้ในข้อ 8 ข้อ 9 (2) ข้อ 10 ข้อ 12 ข้อ 12/3 และข้อ 12/4 แต่ไม่รวมถึงการจ่าย ค่าบริการของโรงแรม ค่าบริการของภัตตาคาร และค่าเบี้ยประกันชีวิต ให้แก่ผู้รับซึ่งเป็น (1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 3.0 “(1/1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563 โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.5” (แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.324/2563 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป) “(1/2) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมิน ที่จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 และได้ดำเนินการนำส่งภาษี ด้วยวิธีการที่กำหนดตามมาตรา 3 ปัณรส แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0” (แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.354/2566 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป) (2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคม หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 3.0 “(2/1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคม หักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563 โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.5” (แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.324/2563 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป) “(2/2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึง มูลนิธิหรือสมาคม หักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 และได้ดำเนินการนำส่งภาษีด้วยวิธีการที่กำหนดตามมาตรา 3 ปัณรส แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0” (แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.354/2566 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป) คำว่า “การให้บริการ” หมายความว่า การกระทำใด ๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่การขายสินค้า คำว่า “ภัตตาคาร” หมายความว่า กิจการขายอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ว่าชนิดใด ๆ รวมทั้งกิจการรับจ้างปรุงอาหารหรือเครื่องดื่ม ทั้งนี้ ไม่ว่าในหรือจากสถานที่ซึ่งจัดให้ประชาชนเข้าไปบริโภคได้ ” (แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 ใช้บังคับ 15 กันยายน 2544 เป็นต้นไป) (ดูคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.112/2545) (ดูคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545) |
ภาระภาษี ของ Shipping Line (สายเรือ) : ทางทะเล
1. ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยระบบคอนเทนเนอร์ 6 ข้อได้แก่ (1) ค่าบรรจุตู้คอนเทนเนอร์หรือค่าแกะสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (Container Freight Station หรือ CFS) (2) ค่าธรรมเนียมใบสั่งปล่อยสินค้า (Delivery Order Fee หรือ D/O) (3) ค่าธรรมเนียมใบตราส่งสำหรับการขนส่งสินค้าขาออก (B/L Fee) (4) ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนสถานะตู้คอนเทนเนอร์ (Status fee) (5) ค่าภาระท่าเรือ คือ ค่าใช้จ่ายในการนำตู้คอนเทนเนอร์ลงจากเรือ หรือค่าย้ายตู้ คอนเทนเนอร์หน้าท่าเรือไปยังลาน (Terminal Handling Charge หรือ THC) (6) ค่าลากตู้ไปเปิดที่โรงงานกรณีการขนส่งสินค้าขาเข้า หรือค่าลากตู้ไปบรรจุสินค้าที่ โรงงานและลากตู้กลับมาที่ท่าเรือกรณีการขนส่งสินค้าขาออก (Container Yard หรือ CY) ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยระบบคอนเทนเนอร์ 6 ข้อVat 7% WHT 1%
2. ค่าบริการ Handling charge Vat 7% WHT 3%
3. ค่าบริการ Ocean freight 1) Lumsum = Vat 7% W/T 1% ทั้งก้อน 2) Break down - Freight Vat 0% WHT1% - Other Service Vat7% WHT 3%
หมายเหตุ - Lumsum คือ Supplier ไม่แยกต้นทุนให้ลูกค้าทราบ กล่าวคือ ทาง Supplier บันทึกบัญชีรายจ่ายทั้งหมดเป็นต้นทุนของตน เมื่อ Supplier เรียกเก็บรายได้ จะเรียกเก็บทั้งจำนวน เช่น ต้นทุนทั้งหมด 7 แสน เรียกเก็บรายได้ 1 ล้าน
- Break down คือ Supplier แยกต้นทุนให้ลูกค้าทราบ กล่าวคือ ทาง Supplier บันทึกบัญชีรายจ่ายบางส่วนเป็นต้นทุนของตน และบันทึก รายการที่ Break down ออกมาเป็นเงินสำรอง (Advance for customer) เมื่อ Supplier เรียกเก็บรายได้ จะเรียกเก็บเป็น 2 รายการ เช่น ต้นทุนทั้งหมด 7 แสน(แบ่งเป็นต้นทุนของงาน 5 แสน Break down 2 แสน) Supplier เรียกเก็บรายได้แค่ 8 แสน ส่วนอีก 2 แสน จะเป็นการเรียกเงินที่ supplier จ่ายสำรองให้ลูกค้าไปก่อนค่ะ
อ้างอิง
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/11620 | วันที่ | : 17 ธันวาคม 2544 | เรื่อง | : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีการขนส่งสินค้าทางทะเล | ข้อกฎหมาย | : คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 | ข้อหารือ | : สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (THAI INTERNATIONAL FREIGHT FORWARDERS ASSOCIATION ) ได้หารือกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีค่าขนส่งสินค้าว่า หมายถึง ค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้า ใช่หรือไม่ซึ่งกรมสรรพากรได้ตอบข้อหารือสมาคมฯ ตามหนังสือที่ กค 0811/10115 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2544สรุปสาระสำคัญดังนี้ 1. กรณีผู้ใช้บริการ (Shipper หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุในใบตราส่งสินค้า (Master Bill of Lading) ให้กับสายการเดินเรือโดยสายการเดินเรือออกใบเสร็จรับเงินในนามผู้ใช้บริการ หรือกรณีเจ้าของสินค้า (Shipper) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุในใบตราส่งสินค้าของสายการเดินเรือ(Master Bill of Lading) ให้กับ Forwarder โดย Forwarder ออกใบเสร็จรับเงินในนามของ เจ้าของสินค้า หรือกรณีผู้ใช้บริการ (Shipper หรือ Forwarder A) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดตามที่ระบุในใบตราส่งสินค้าของ Forwarder B (House Bill of Lading) ให้กับ Forwarder B โดย Forwarder B ออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ใช้บริการ ถือเป็นการจ่ายค่าขนส่งซึ่งอยู่ในบังคับต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย2. กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดเนื่องจากการขนสินค้าขาเข้าตามที่ระบุไว้ในบิลออฟเลดิง ให้กับสายการเดินเรือไทยโดยที่สายการเดินเรือไทยจะต้องนำรายได้ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการรับขนสินค้าขาเข้าไปรวมคำวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.0 อย่างไรก็ดี หากปรากฏว่า สายการเดินเรือไทยเป็นสายการเดินเรือที่เข้าลักษณะตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 314) พ.ศ. 2540 ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 3. กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดเนื่องจากการขนสินค้าขาเข้าตามที่ระบุไว้ในบิลออฟเลดิง ให้กับสายการเดินเรือต่างประเทศ โดยที่ค่าขนส่งสินค้าขาเข้าไม่เป็นฐานภาษีในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 67แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย4. กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder A) จ่ายค่าบริการเกี่ยวกับการขนส่ง สินค้าขาออกและการขนส่งสินค้าขาเข้าที่มิได้ระบุไว้ในบิลออฟเลดิงให้กับสายการเดินเรือไทยหรือสายการเดินเรือต่างประเทศ หรือจ่ายให้กับ Forwarder B ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 สมาคมฯ แจ้งว่า ในการดำเนินธุรกิจของสมาชิกในบางกรณีไม่สามารถระบุค่าประโยชน์อื่นใดไว้ในบิลออฟเลดิง และในการดำเนินธุรกิจการขนส่งระหว่างประเทศในระดับสากลยังไม่มีประเทศใดถือปฏิบัติ จึงขอให้กรมสรรพากรทบทวนแนวทางปฏิบัติตามหนังสือตอบข้อหารือที่ กค 0811/10115 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2544 | แนววินิจฉัย | : 1. กรณีการขนส่งสินค้าทางทะเลขาเข้าและขาออก หากผู้ประกอบการที่เป็นสายการเดินเรือหรือ Freight Forwarder ไม่สามารถระบุค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าไว้ในบิลออฟเลดิง ผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถออกเอกสารโดยระบุเฉพาะค่าระวาง (Freight)ไว้ในบิลออฟเลดิง และระบุค่าใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวกับการขนส่ง สินค้าไว้ในเอกสารประเภท Freight Invoice ได้ แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวต้องเป็นรายการที่เกี่ยว เนื่องกับการขนส่งสินค้าโดยระบบคอนเทนเนอร์เท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าโดยระบบคอนเทนเนอร์ได้แก่ (1) ค่าบรรจุตู้คอนเทนเนอร์หรือค่าแกะสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (Container Freight Station หรือ CFS) (2) ค่าธรรมเนียมใบสั่งปล่อยสินค้า (Delivery Order Fee หรือ D/O) (3) ค่าธรรมเนียมใบตราส่งสำหรับการขนส่งสินค้าขาออก (B/L Fee) (4) ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนสถานะตู้คอนเทนเนอร์ (Status fee) (5) ค่าภาระท่าเรือ คือ ค่าใช้จ่ายในการนำตู้คอนเทนเนอร์ลงจากเรือ หรือค่าย้ายตู้ คอนเทนเนอร์หน้าท่าเรือไปยังลาน (Terminal Handling Charge หรือ THC) (6) ค่าลากตู้ไปเปิดที่โรงงานกรณีการขนส่งสินค้าขาเข้า หรือค่าลากตู้ไปบรรจุสินค้าที่ โรงงานและลากตู้กลับมาที่ท่าเรือกรณีการขนส่งสินค้าขาออก (Container Yard หรือ CY) ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินตามบิลออฟเลดิงและ Freight Invoice ดังกล่าว ถือว่าเป็นการจ่ายค่าขนส่งจึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1.0ตามข้อ 12/4 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2544 2. กรณีผู้ประกอบการที่เป็นสายการเดินเรือ หรือ Freight Forwarder ระบุค่าบริการ(Handling Charge หรือ H/D) ไว้ในเอกสาร Freight Invoice ด้วยนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าโดยระบบคอนเทนเนอร์ โดยแยกรายการอย่างชัดเจนเฉพาะค่าบริการ(Handling Charge) ดังกล่าวถือเป็นค่าตอบแทนที่ผู้ใช้บริการจ่ายให้กับสายการเดินเรือ หรือFreight Forwarderผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0ของค่าบริการ (Handling Charge) นั้น ตามข้อ 12/1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่องสั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.104/2544 ฯ ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2544สำหรับรายการที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าโดยระบบคอนเทนเนอร์ ตาม 1. ที่ระบุไว้ใน Freight Invoice ถือเป็นค่าขนส่ง อยู่ในบังคับต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ใน อัตราร้อยละ 1.0
| เลขตู้ | : 64/30746 |
ภาระภาษี ของ Shipping Line (สายการบิน) : ทางอากาศ
1. กรณีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานขาออก (Air Freight Outbound) เมื่อจ้าของสินค้า (Shipper) จ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าขาออกดังกล่าวให้กับ Freight Forwarderเจ้าของสินค้ายังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 จากยอดรวมทั้งหมด 2. กรณีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานขาเข้า (Air Freight Inbound) ผู้ใช้บริการยังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0ของค่าบริการที่ Forwarder A ได้รับจากการดำเนินการแทนนั้น (Handling Charge) สำหรับ VAT มีคำตอบเหมือนทางทะเลค่ะ 1) Lumsum = Vat 7% 2) Break down - Freight Vat 0% - Other Service/ Handling charge Vat7%
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/8244 | วันที่ | : 27 สิงหาคม 2544 | เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย กรณีการประกอบกิจการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน (Freight Forwarder) | ข้อกฎหมาย | : คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 4/2528ฯแก้ไขเพิ่มเติมโดย ท.ป. 101/2544ฯ | ข้อหารือ | : สมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศไทย (Thai Airfreight Forwarders Association) หารือกรมสรรพากรเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการประกอบกิจการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน (Freight Forwarder) ตามคำชี้แจงกรมสรรพากรลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2544 และตามหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0811/7275 ลงวันที่ 25กรกฎาคม พ.ศ. 2544 | แนววินิจฉัย | : 1. กรณีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานขาออก (Air Freight Outbound) 1.1 กรณีผู้ใช้บริการ (Shipper หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวางค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาออกให้กับสายการบิน โดยสายการบินออกใบตราส่ง Master Air Waybill) ให้กับผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้ (1) กรณีจ่ายให้กับสายการบินไทย ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของยอดรวมทั้งหมด และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับสายการบิน (2) กรณีจ่ายให้กับสายการบินต่างประเทศซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของยอดรวมทั้งหมด และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับสายการบิน (3) กรณีจ่ายให้กับสายการบินต่างประเทศซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย หากอนุสัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเท่านั้น ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่หากอนุสัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดให้เก็บภาษีได้ร้อยละ 1.5 ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.5 ของยอดรวมทั้งหมด และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับสายการบิน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้จัดทำความตกลงหรืออนุสัญญาภาษีซ้อนและมีผลบังคับใช้แล้วจำนวน 43 ประเทศตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1.2 กรณีสายการบินต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีตัวแทนสายการบินหรือเรียกว่า GENERAL SALES AGENT (GSA) เมื่อผู้ใช้บริการ (Shipper หรือ Forwarder)จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาออกให้กับตัวแทนสายการบิน(GSA) โดยตัวแทนสายการบินได้ออกใบตราส่ง (Master Air Waybill) ในนามสายการบินให้กับผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์ตาม 1.1และเมื่อตัวแทนสายการบิน (GSA) นำเงินค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาออกจำนวนดังกล่าวจ่ายให้กับสายการบิน ตัวแทนสาย-การบิน (GSA) ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 1.2 กรณีผู้ประกอบการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยาน(Freight Forwarder) ได้เรียกเก็บค่าขนส่งสินค้าจากเจ้าของสินค้า (Shipper) หลายราย ซึ่งในทางปฏิบัติ Freight Forwarder จะขายค่าระวางโดยส่งมอบใบตราส่งของ Freight Forwarder(Master Air Waybill หรือ House Air Waybill) ให้กับเจ้าของสินค้า Shipper) แต่ละรายไปก่อน และ Freight Forwarder จ่ายเงินทดรองจ่ายแทนเจ้าของสินค้าเป็นค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาออกทั้งหมดให้กับสายการบินในนามของFreight Forwarder เอง โดยไม่สามารถแยกจ่ายค่าขนส่งสินค้าขาออกให้กับสายการบินเป็นแต่ละรายเจ้าของสินค้า (Shipper)ดังนั้น Freight Forwarder จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามหลักเกณฑ์ตาม 1.1 ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้กับสายการบินในนามของ FreightForwarder และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามแบบ ภ.ง.ด.53 โดยระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของ Freight Forwarder ในช่อง ผู้จ่ายเงิน ซึ่งกรมสรรพากรจะออกใบเสร็จรับเงินในนามของ Freight Forwarder กรณีดังกล่าว Freight Forwarder ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 4 ของคำชี้แจงกรมสรรพากร ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2544 อย่างไรก็ดี หากFreight Forwarder สามารถแยกจ่ายค่าขนส่งสินค้าขาออกให้กับสายการบินในนามของเจ้าของสินค้าแต่ละรายได้ ให้ Freight Forwarder ปฏิบัติตามข้อ 4 ของคำชี้แจงกรมสรรพากร ลงวันที่ 20กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ซึ่งการปฏิบัติตามข้อ 4 ของคำชี้แจงกรมสรรพากรดังกล่าว เมื่อเจ้าของสินค้าจ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าขาออกคืนให้กับ Freight Forwarder เจ้าของสินค้าไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายกรณี Freight Forwarder จ่ายเงินทดรองจ่ายแทนเจ้าของสินค้าเป็นค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาออกทั้งหมดให้กับสายการบินซึ่ง Freight Forwarder มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์ตาม 1.1 แล้วเมื่อจ้าของสินค้า (Shipper) จ่ายเงินค่าขนส่งสินค้าขาออกดังกล่าวให้กับ Freight Forwarderเจ้าของสินค้ายังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 จากยอดรวมทั้งหมดตามข้อ 12/1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 ฯ ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2544 อย่างไรก็ดีหากค่าขนส่งที่ Freight Forwarder เรียกเก็บจากเจ้าของสินค้าสามารถสอบยันได้กับยอดที่Freight Forwarder ได้จ่ายให้กับสายการบิน ซึ่ง Freight Forwarder ได้หักภาษีเงินได้ ณที่จ่าย แล้ว เจ้าของสินค้า (Shipper) ก็ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับค่าขนส่งสินค้าขาออกที่ Freight Forwarder เรียกเก็บ แต่อย่างใด ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อ Freight Forwarderออกใบเสร็จรับเงินให้กับเจ้าของสินค้า (Shipper) โดยระบุข้อความเพิ่มเติมมีสาระสำคัญสรุปว่าค่าระวางขนส่งสินค้าขาออกตามใบเสร็จรับเงินฉบับนี้ Freight Forwarder ได้ดำเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากสายการบิน แล้ว กรณีดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการสอบยันค่าขนส่งสินค้าขาออกตามหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0811/7275 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 2. กรณีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยอากาศยานขาเข้า (Air Freight Inbound) 2.1 กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาเข้าให้กับสายการบิน โดยสายการบินออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder) (1) กรณีจ่ายให้กับสายการบินไทย ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณที่จ่าย (2) กรณีจ่ายให้กับสายการบินต่างประเทศ เนื่องจากเป็นการจ่ายค่าขนส่งสินค้าขาเข้า ซึ่งไม่เป็นฐานในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 2.2 กรณีผู้ใช้บริการ (Consignee หรือ Forwarder B) จ่ายค่าระวาง ค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าขาเข้าให้กับ Forwarder A โดย Forwarder Aกระทำการในฐานะเป็นตัวแทนของ Forwarder ในต่างประเทศ และได้ออกใบเสร็จรับเงินในนามของผู้ใช้บริการ ถือว่าผู้ใช้บริการจ่ายค่าขนส่งสินค้าขาเข้าซึ่งไม่เป็นฐานในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในส่วนที่กระทำการแทนนั้น แต่ผู้ใช้บริการยังคงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0ของค่าบริการที่ Forwarder A ได้รับจากการดำเนินการแทนนั้น (Handling Charge) 3. อนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการปรับลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินค่าขนส่งจากอัตราร้อยละ 3.0 เป็นอัตราร้อยละ 1.0 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15กันยายน พ.ศ.2544 เป็นต้นไป จึงขอแจ้งมาเพื่อทราบ และเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับ กรมสรรพากรจะได้แจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง |
|