Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

ภาษีซื้อสำหรับค่าก่อสร้างอาคารที่ชื่อผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นชื่อกรรมการ


เรื่อง ภาษีซื้อสำหรับค่าก่อสร้างอาคารที่ชื่อผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นชื่อกรรมการ
แหล่งที่มา Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วันที่ วันที่ถาม 30/03/2023 - วันที่ตอบ 15/04/2023
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย มาตรา 65 ตรี (5), มาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา
ปรึกษาอาจารย์ เรื่อง การก่อสร้างร้านอาหาร ค่ะ
ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565  กรรมการบริษัทฯ ติดต่อเช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างร้านอาหาร และตกลงจะทำสัญญาเช่าเมื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้ว
    วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2565 กรรมการบริษัท ได้ยื่นขอก่อสร้างอาคารกับ อบต. ในนามกรรมการ (ยังไม่ได้จัดตั้งบริษัทฯ )
    วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565 จดจัดตั้งบริษัทฯ 
    วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2565 บริษัทฯ ได้ทำสัญญาเช่าที่ดิน เพื่อก่อสร้างร้านอาหาร
    หลังจากนั้นได้ดำเนินการก่อสร้าง โดยบริษัทฯ เป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด ใบกำกับภาษีออกในนาม บริษัท...จำกัด และบัญชีได้ยื่นเครดิตภาษีซื้อในนามบริษัท...จำกัด เมื่อธันวาคม พ.ศ. 2565 เจ้าพนักงานสรรพากรได้เข้าตรวจแนะนำและแจ้งว่า ชื่อผู้ขอก่อสร้างเป็นชื่อกรรมการ จะนำภาษีซื้อมาเครดิตไม่ได้และจะตัดเครดิตภาษีซื้อ ในส่วนโครงสร้างอาคารออก และต้องชำระเบี้ยปรับ/เงินเพิ่ม (เข้าใจว่าถูกต้องแล้ว) 
กรณีแบบนี้สามารถนำใบกำกับภาษี ของโครงสร้างอาคารมาเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้หรือไม่คะ และสามารถบันทึกเป็นสิทธิในการใช้อาคาร และตัดจำหน่ายค่าสิทธิตามอายุสัญญาได้หรือไม่คะ  
    สอบถามเพิ่มเติมจากด้านบนค่ะ ในส่วนของอาคารที่ก่อสร้างเสร็จ ต้องตกเป็นรายได้ของกรรมการผู้ขอก่อสร้าง หรือเจ้าของที่ดินที่ให้บริษัทเช่าคะ 
วิสัชนา
1. กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วางแนวทางในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด ดังนี้ 
    “เมื่อจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว ก็ให้ดำเนินการดังนี้
    1. ผู้เริ่มก่อการจัดให้มีการจองซื้อหุ้นทั้งหมด
    2. เมื่อมีการจองซื้อหุ้นหมดแล้ว ก็ให้ผู้เริ่มก่อการออกหนังสือนัดประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นเพื่อประชุมจัดตั้งบริษัท การออกหนังสือนัดประชุมจะต้องห่างจากวันประชุมอย่างน้อย 7 วัน 
    3. จัดประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นเพื่อจัดตั้งบริษัท
        3.1 องค์ประชุมจะต้องมีผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทั้งหมดและนับจำนวนหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของหุ้นทั้งหมด (จะมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนก็ได้) 
        3.2 วาระการประชุม 
             (1) ทำความตกลงตั้งข้อบังคับของบริษัท
             (2) ให้สัตยาบันแก่บรรดาสัญญาซึ่งผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้ และค่าใช้จ่ายที่ผู้เริ่มก่อการต้องจ่ายในการเริ่มก่อตั้งบริษัท 
             (3) กำหนดจำนวนเงินซึ่งจะให้แก่ผู้เริ่มก่อการ (ถ้ามี)
             (4) ในกรณีที่บริษัทจะออกหุ้นบุริมสิทธิ ให้กำหนดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิพร้อมทั้งกำหนด
สภาพและบุริมสิทธิของหุ้นบุริมสิทธิว่ามีสภาพหรือสิทธิอย่างไร
             (5) ในกรณีที่บริษัทจะออกหุ้นเพื่อเป็นการตอบแทนการลงทุนด้วยทรัพย์สินหรือแรงงาน
จะต้องกำหนดจำนวนหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิซึ่งออกให้เหมือนหนึ่งว่าได้ใช้เต็มค่าแล้วหรือได้ใช้แต่บางส่วนเพราะได้ใช้ค่าหุ้นด้วยอย่างอื่นนอกจากตัวเงิน โดยจะต้องระบุรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งในหนังสือนัดประชุมและมติที่ประชุมแรงงานที่จะนำมาตีราคาเป็นค่าหุ้นของบริษัทต้องเป็นแรงงานที่ได้กระทำไปแล้ว 
             (6) การเรียกชำระค่าหุ้น 
             (7) เลือกตั้งกรรมการและกำหนดอำนาจกรรมการ
             ( 8 ) เลือกผู้สอบบัญชีรับอนุญาตพร้อมทั้งกำหนดค่าสินจ้าง การตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเพื่อตรวจสอบและรับรองงบการเงินต้องแต่งตั้งบุคคลธรรมดาเท่านั้น จะแต่งตั้งสำนักงานตรวจสอบบัญชีไม่ได้ 
    4. ผู้เริ่มก่อการมอบหมายกิจการงานทั้งหมดให้แก่คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุม
    5. คณะกรรมการเรียกเก็บค่าหุ้นจากผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น อย่างน้อยร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น
    6. เมื่อเก็บค่าหุ้นได้ครบแล้ว ให้กรรมการผู้มีอำนาจจัดทำคำขอจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้วยื่นจดทะเบียนต่อนายทะเบียน
    การยื่นจดทะเบียนจะต้องให้กรรมการผู้มีอำนาจเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำขอจดทะเบียนและต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่ที่ประชุมจัดตั้งบริษัท ถ้าไม่จดทะเบียนภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจะทำให้การประชุมตั้งบริษัทเสียไป หากต่อไปต้องการจดทะเบียนตั้งบริษัทก็ต้องดำเนินการจัดประชุมผู้จองซื้อหุ้นใหม่ 

2. ตามแนวคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรเลขที่หนังสือ กค 0811/32502 ลงวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เลขตู้: 63/29729 https://www.rd.go.th/24079.html 
    กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับรายจ่ายก่อนการดำเนินงาน ดังนี้ 
    “1. กิจการมีสิทธินำรายจ่ายก่อนการดำเนินงานที่เป็น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าธรรมเนียมในการให้คำแนะนำและปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท ค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าซ่อมแซม ค่ารับรอง ค่าสอบบัญชี ค่าภาษี ค่าประกันภัย และค่าเครื่องใช้สำนักงาน ไปถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ บริษัทฯ มีสิทธินำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มดำเนินการได้ทั้งจำนวน
    2. สำหรับรายจ่ายก่อนเริ่มดำเนินกิจการ ที่เป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน ต้องห้ามนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มดำเนินการทั้งจำนวน ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ให้หักเป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้ตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527” 

3. "ภาษีซื้อ" หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของราคาสินค้าหรือราคาค่าบริการที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้จ่ายหรือพึงต้องจ่าย ตามหลักฐานต้นฉบับใบกำกับภาษี เนื่องจากการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักรจากผู้ประกอบการจดทะเบียนรายอื่น หรือเนื่องจากการนำเข้า หรือเนื่องจากได้รับโอนสินค้านำเข้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากร ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร หรือเนื่องจากการนำส่งตามมาตรา 83/5 มาตรา 83/6 และมาตรา 83/7 แห่งประมวลรัษฎากร 
    ภาษีซื้อที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถนำไปเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษี มูลค่าเพิ่มได้นั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 
    3.1 ต้องเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของผู้ประกอบการจดทะเบียน อันเป็นกิจการที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม อาทิ
         (1) ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายต้นทุนสินค้าที่ขาย หรือบริการ อันเป็นกิจการที่ข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
         (2) ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายค่าก่อสร้างอาคาร โรงงาน เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องใช้สำนักงาน ตลอดจนทรัพย์สินอื่นที่ใช้ในกิจการที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 
         (3) ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายในการส่งเสริมการขาย เช่น ภาษีซื้อสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมตัวแทนจำหน่ายสินค้าและผู้สนใจทั่วไปตามโรงแรม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อันเป็นการส่งเสริมการขาย เช่น ค่าเช่าห้องประชุม ค่าอาหารว่าง ค่าเดินทาง ค่าที่พัก (โรงแรม) ของผู้เข้าประชุม ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อรถยนต์นั่งมาเป็นรางวัลในการชิงโชค ภาษีซื้อจากการให้บริการนำเที่ยวแก่ลูกค้า หากลูกค้ารายใดซื้อสินค้าครบตามเกณฑ์ที่กำหนด 
         (4) ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายค่าสวัสดิการพนักงาน เช่น ภาษีซื้อค่าน้ำ เครื่องดื่ม กระดาษทิชชู ค่าแบบฟอร์มพนักงาน ค่าใช้จ่ายเพื่อการกีฬาของพนักงาน ค่าห้องพักโรงแรมในการที่พนักงานไปทำงานต่างจังหวัดชั่วคราว 
         (5) ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายทั่วไปในการประกอบกิจการที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 
         (6) ภาษีซื้อสำหรับกิจการที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 
    3.2 ต้องเป็นภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร และเป็น ใบกำกับภาษีต้นฉบับ เว้นแต่สำเนาใบกำกับภาษีในกรณีดังต่อไปนี้
         (1) ใบกำกับภาษีที่จัดทำในลักษณะเป็นเอกสารออกเป็นชุด ซึ่งออกร่วมกับเอกสารทางการค้าอื่น และใบกำกับภาษีไม่ใช่เอกสารฉบับแรก
         (2) ใบแทนใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/12 แห่งประมวลรัษฎากร
         (3) ภาพถ่ายใบเสร็จรับเงินค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ออกให้โดยกรมศุลกากร ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำต้นฉบับไปใช้ในการขอคืนอากรขาเข้า หรือเงินชดเชยจากกรมศุลกากร 
    3.3 ต้องเป็นภาษีซื้อที่ผู้ประกอบการจดทะเบียน สามารถแสดงได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อตามใบกำกับภาษี หรือใบเพิ่มหนี้ดังกล่าวไปจริง 
    3.4 ต้องเป็นภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่มีรายการครบถ้วนสมบูรณ์ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่มีรายการแก้ไข หรือภาษีซื้อตามใบเพิ่มหนี้ ที่มีรายการครบถ้วนสมบูรณ์ตามมาตรา 86/9 แห่งประมวลรัษฎากร 
    3.5 ต้องเป็นภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป หรือใบเพิ่มหนี้ที่ออกโดยผู้ที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีหรือผู้ประกอบการจดทะเบียน หรือภาษีซื้อตามใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรหรือกรมศุลกากรในกรณีรับชำระภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำส่งตามมาตรา 83/6 หรือมาตรา 83/7 หรือได้นำเข้าตามมาตรา 83/8 แห่งประมวลรัษฎากร รวมทั้งผู้ทอดตลาดที่ได้ขายทอดตลาดซึ่งทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียน 
    3.6 ต้องมิใช่ภาษีซื้อที่ต้องห้ามมิให้นำมาถือเป็นเครดิตตามมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร และต้องเป็นภาษีซื้อตั้งแต่วันที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้นไป

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
กรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการภัตตาคาร ก่อนเริ่มดำเนินกิจการ 12 วัน (วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2565) กรรมการบริษัท ได้ยื่นขอก่อสร้างอาคารกับ อบต.ในนามกรรมการ โดยได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565 (ซึ่งเข้าใจว่าบริษัทฯ ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปพร้อมกัน) 
ต่อมาในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2565 บริษัทฯ ได้ทำสัญญาเช่าที่ดิน เพื่อก่อสร้างร้านอาหาร หลังจากนั้นได้ดำเนินการก่อสร้าง โดยบริษัทฯ เป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด ใบกำกับภาษีออกในนาม บริษัท...จำกัด และบัญชีได้ยื่นเครดิตภาษีซื้อในนามบริษัท...จำกัด 
เกี่ยวกับภาษีซื้อสำหรับค่าก่อสร้างอาคารที่ปรากฏชื่อผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นชื่อกรรมการ นั้น 
    1. บริษัทฯ พึงต้องมีมติที่ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นเพื่อจัดตั้งบริษัทฯ เพื่อให้สัตยาบันว่า กรรมการกระทำการทั้งหลายเพื่อบริษัทฯ ไม่ได้มุ่งหมายที่จะกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกรรมการ แต่อย่างใด 
    2. ให้กรรการผู้ขออนุญาตปลูกสร้างจัดทำหนังสือแจ้งผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทั้งหลายว่า ขอสละสิทธิใดๆ ที่จะมีเกี่ยวกับอาคารที่ขออนุญาตปลูกสร้างไว้ก่อนจัดตั้งบริษัทฯ ให้เป็นของบริษัทฯ จดหมดสิ้น ด้วยเจตนาที่จะขออนุญาตปลูกสร้างอาคารเพื่อให้บริษัทฯ ใช้ในการประกอบกิจการ เท่านั้น และหากเป็นไปได้ให้ขอจดแจ้งเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคารเป็นชื่อบริษัทฯ ต่อ อบต. ตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
    3. เบี้องต้นนำมติที่ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นเพื่อจัดตั้งบริษัทฯ ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานสรรพากร พร้อมหนังสือขอสละสิทธิใดๆ เกี่ยวกับอาคารของกรรมการ เพื่อยืนยันสิทธิในภาษีซื่อสำหรับค่าก่อนสร้างอาคารประกอบกิจการภัตตาคาร
    4. เมื่ออาคารเป็นของบริษัทฯ มาตั้งแต่แรก บริษัทฯ ย่อมสามารถบันทึกเป็นทรัพย์สิน และคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาอาคารได้ตามปกติ และไม่ถือเป็นเงินได้ของกรรมการแต่อย่างใด



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ 

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ "

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ