คำสั่งกรมสรรพากร(ป) D.I.

คำสั่งกรมสรรพกร (ป) 101/2543
เรื่อง (ไทย) | ค่าตอบแทนที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าที่ไม่ต้องนำมารวม คำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร |
เรื่อง (อังกฤษ) | |
ภาษาไทย (TH) | คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 101/2543 เรื่อง ค่าตอบแทนที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าที่ไม่ต้องนำมารวม คำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร _________________ เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนำผู้ประกอบการจดทะเบียน กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในประเทศโดยสินค้าดังกล่าวผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ได้โอนสินค้าดังกล่าวให้ผู้ซื้อเป็นผู้กระทำพิธีการนำเข้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรตามมาตรา 83/8 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าที่ขายมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไขค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 80) เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไขค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2541 กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งต่อไปนี้ ข้อ 1 การขายสินค้าที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าที่ขายมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้ (1) ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ขายต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคำนวณจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร (2) ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ขายสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศให้แก่ผู้ซื้อในประเทศ (3) ผู้ซื้อซึ่งนำเข้าสินค้าได้มีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรตามมาตรา 83/8 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว (4) ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้า จะต้องมีหลักฐานสำเนาใบเสร็จรับเงินของกรมศุลกากรที่ออกให้ผู้ซื้อเก็บรักษาไว้พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบ ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่งไม่ต้องออกใบกำกับภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 78 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่มีหน้าที่ต้องออกใบรับตามมาตรา 105 หรือใบส่งของ ตามมาตรา 105 จัตวา แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี ข้อ 2 กรณีการนำเข้าสินค้าซึ่งผู้ซื้อไม่มีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากร เนื่องจากผู้ซื้อได้วางเงินประกัน หลักประกัน หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันเพื่อเป็นประกันภาษีมูลค่าเพิ่มแทนการชำระภาษี หรือผู้ซื้อได้นำเข้าสินค้าที่จำแนกประเภทไว้ใน ภาคว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร ถือได้ว่าผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้นำเข้าไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรตามมาตรา 83/8 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าจึงไม่มีสำเนาใบเสร็จรับเงินของกรมศุลกากร ที่ออกให้ผู้ซื้อให้เจ้าพนักงาน ประเมินตรวจสอบผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องออก ใบกำกับภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 78 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และต้องนำมูลค่าของสินค้าที่ขายมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 3 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในประเทศ โดยการขายสินค้าดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อ 1 แต่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับชำระเงินล่วงหน้าหรือเงินมัดจำบางส่วนจากผู้ซื้อและได้ออกใบกำกับภาษีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินล่วงหน้าหรือเงินมัดจำนั้นแล้วก่อน วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ต่อมามีการนำเข้าสินค้าที่ขายโดยผู้ประกอบการจดทะเบียนได้โอนสินค้าให้ผู้ซื้อเป็นผู้กระทำพิธีการนำเข้าและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2541 เป็นต้นไป ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในวรรคสอง ของข้อ 1 สำหรับมูลค่าของสินค้าส่วนที่ยังไม่ได้รับชำระราคา ข้อ 4 ในการตรวจสอบภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินไม่ว่าการตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม การตรวจปฏิบัติการหรือตรวจสอบทั่วไปสำหรับการขายสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนได้โอนสินค้าให้ผู้ซื้อเป็นผู้กระทำพิธีการนำเข้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรก่อนวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ถ้าการขายสินค้าดังกล่าวเข้าลักษณะและเงื่อนไขตามข้อ 1 (1) ถึง (3) แล้ว ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ประกอบการจดทะเบียนจะได้นำมูลค่าของสินค้าที่ขายไปรวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ก็ตามถือว่าผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ปฏิบัติถูกต้องแล้ว ข้อ 5 การขายสินค้าซึ่งผู้ซื้อได้นำเข้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นไป หากการขายสินค้าดังกล่าวเข้าลักษณะและเงื่อนไขตามข้อ 1 (1) ถึง (4) แล้ว ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าที่ขายมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร และไม่ต้องออกใบกำกับภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อเมื่อความรับผิดในการเเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 78 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ไม่ว่ามูลค่าของสินค้าตามสัญญาจะสูงหรือต่ำกว่าฐานภาษีจากการนำเข้าสินค้าดังกล่าว ตัวอย่าง ผู้ประกอบการจดทะเบียนทำสัญญาขายสินค้าราคา 10,000 บาท โดยโอนสินค้าให้ผู้ซื้อเป็นผู้นำเข้าฐานภาษีจากการนำเข้าสินค้า ได้แก่ ราคา ซี.ไอ.เอฟ. บวกด้วยอากรขาเข้าบวกด้วยค่าธรรมเนียมอื่นจำนวน 9,000 บาท ผู้ประกอบการ จดทะเบียนที่ขายสินค้านั้น ไม่ต้องนำส่วนต่างของราคาสินค้าตามสัญญาและฐานภาษีจากการนำเข้าสินค้าจำนวน 1,000 บาท (10,000 - 9,000) มารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่ต้องออกใบกำกับภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้ออีก ข้อ 6 กรณีการขายสินค้าพร้อมกับการให้บริการ เช่น การขายสินค้าตามสัญญาซื้อขายแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนเป็นผู้จัดหาสินค้า ตลอดจนทำการขนส่ง ติดตั้ง อบรมพนักงาน เป็นต้น หากการขายสินค้าในลักษณะดังกล่าว ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และได้โอนสินค้าให้ผู้ซื้อเป็นผู้นำเข้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าตามสัญญาในส่วนของสินค้า ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร การขายสินค้าพร้อมกับการให้บริการตามวรรคหนึ่ง กระทำได้ดังนี้ (1) กรณีทำสัญญาโดยแยกราคาสินค้าและค่าบริการออก ต่างหากจากกัน ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องนำ มูลค่าของสินค้าส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศที่โอน ให้ผู้ซื้อเป็นผู้นำเข้า มารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่าง ผู้ประกอบการจดทะเบียนทำสัญญาขายเครื่องจักรพร้อมติดตั้ง โดยแยกเป็นราคาเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์และค่าติดตั้ง ดังนี้ ค่าเครื่องจักร (นำเข้าจากต่างประเทศ) 200,000 บาท ค่าอุปกรณ์ (นำเข้าจากต่างประเทศ) 20,000 บาท ค่าอุปกรณ์ (ภายในประเทศ) 30,000 บาท ค่าติดตั้ง 50,000 บาท ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ขายไม่ต้องนำมูลค่าตามสัญญาของเครื่องจักร และอุปกรณ์ส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศที่โอนให้ผู้ซื้อเป็นผู้นำเข้าจำนวน 220,000 บาท มารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (2) กรณีทำสัญญาโดยไม่แยกราคาสินค้าและค่าบริการผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศที่โอนให้ผู้ซื้อเป็นผู้นำเข้ามารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่าง ผู้ประกอบการจดทะเบียนทำสัญญาขายเครื่องจักร พร้อมติดตั้ง ราคา 200,000 บาท โดยโอนให้ผู้ซื้อเป็นผู้นำเข้าเครื่องจักร ฐานภาษีในการนำเข้าเครื่องจักร ได้แก่ ราคา ซี.ไอ.เอฟ. บวกด้วยอากรขาเข้าบวกด้วยค่าธรรมเนียมอื่นจำนวน 150,000 บาท ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ขายไม่ต้องนำมูลค่าของเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศจำนวน 150,000 บาท ดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สั่ง ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรมสรรพากร |
ภาษาอังกฤษ (EN) | สำหรับสมาชิก Tax-EZ สามารถกดปุ่ม “ตั้งคำถาม” เพื่อเเจ้งหัวข้อที่ต้องการให้แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ที่นี่ค่ะ This function for Tax-EZ member only. Please request English Translation Click and press “ตั้งคำถาม” |
Tax-EZ(easy) Note |