Case study

หักภาษี ณ ที่ จ่าย สำหรับเงินได้ไม่ครบปี


เรื่อง หักภาษี ณ ที่ จ่าย สำหรับเงินได้ไม่ครบปี
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 20/01/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ข้อกฎหมาย
คำถาม

พนักงานได้ตกลงกับบริษัทล่วงหน้า (โดยมีการทำสัญญาตกลงกันว่าจะทำงานถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568)  

คำถาม

1. ภาษี หัก ณ ที่จ่าย ตอนที่คำนวณ ของปี 2568 จะต้องคำนวณเงินไ้ด้เสมือนทำงานตลอดปี หรือ ให้คำนวณถึงเเค่เดือน กุมภาพันธ์  (คูณ 2 เดือน) 

2. ถ้าพนักงานได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Provident fund (ทั้งส่วนของลูกจ้างและนายจ้าง)  ในขณะที่พนักงานอายุ 54 ปี  จะต้องนำเงินได้นี้ไปเสียภาษีหรือไม่อย่างไรคะ  

คำตอบ

ตอบ 1


สำหรับการจ้างานพนักงาน เงินเดือน/ค่าตอบแทนที่จ่ายให้พนักงานนั้น 

  • ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)   แห่งประมวลรัษฎากร   
  • บริษัทจะต้องนำมารวมคำนวณเป็นเงินได้ของพนักงานเพื่อหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดให้คำนวณเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี   เนื่องจากไม่มีกฏหมาย หรือ ประกาศแนวทางปฏิบัติใดระบุเงื่อนไขยกเว้นไว้ว่าไม่ต้องคำนวณทั้งปีสำหรับพนักงานที่มีข้อตกลงว่าจะออกระหว่างปีภาษี  (ต่างจากการเข้างานระหว่างปีภาษีซึ่งจะมีการระบุว่าสามารถคำนวณตั้งแต่เดือนที่เข้างานได้ ตาม คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.16/2530) 
  • เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ ที่ต้องคำนวณตลอดทั้งปี ก็คือ   วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้หัก ค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อนตลอดทั้งปี ดังนั้น จึงควรสอดคล้องกันค่ะ


มาตรา 40   เงินได้พึงประเมินนั้น คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้ รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด
 
        (1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน


มาตรา 50 ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้
         
(1) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย เพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
          ถ้าการหารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายตามความในวรรคก่อนไม่ลงตัว เหลือเศษเท่าใดให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมเข้ากับเงินภาษีที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เพื่อให้ยอดเงินภาษีที่หักรวมทั้งปีเท่าจำนวนภาษีที่จะต้องเสียทั้งปี  

ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงาน และได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(5) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
           ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) นอกจากที่ระบุไว้ในวรรคสาม ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
  


     มาตรา 48  เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้
             (1) เงินได้พึงประเมินเมื่อได้
หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 47 หรือมาตรา 57 เบญจ แล้ว เหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ ต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวดนี้


คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 16/2530

เรื่องการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย กรณีการจ้างแรงงาน ระหว่างปี


  ข้อ 1 การคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ที่จ่ายให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเข้าทำงานระหว่างปี ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายจริงสำหรับปีภาษีนั้น เช่น เข้าทำงานในวันที่ 1 ตุลาคมของปีภาษี และกำหนดจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายจริงในปีภาษีนั้น เท่ากับ 3 คราว ดังนั้น จึงคูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วย 3 ได้จำนวนเงินได้พึงประเมินเท่าใดให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากรเป็นภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายไม่ลงตัวให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมเข้ากับเงินภาษีที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น




ตอบ 2 ถ้าได้รับ Provident fund (ทั้งส่วนของลูกจ้างและนายจ้าง) และไม่เข้าเงื่อนไขข้อยกเว้นของ PVD เนื่องจากพนักงาน (อายุ 54 ปี)   โดย พนักงานต้องนำไปรวมเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

สำหรับเงินที่ได้รับจากกองทุน จะ แบ่งเป็น 4 ก้อน คือ

  1. เงินสะสมจากตัวเราเอง  คือ   เงินของพนักงานที่ถูกหักจากเงินเดือนเพื่อสะสม   
  2. เงินสมทบจากบริษัท     คือ   เงินจากนายจ้างที่สมทบเข้ากองทุนให้พนักงาน
  3. ผลประโยชน์เงินสะสม   คือ   เงินที่งอกเงยจากการลงทุนของเงินสะสม
  4. ผลประโยชน์เงินสมทบ  คือ   เงินที่งอกเงยจากการลงทุนของเงินสมทบ

   

ก้อนที่ 1 พนักงานไม่ต้องนำไปรวมเสียภาษี ภงด 91   เนื่องจากเป็นเงินสะสมของพนักงาน

ก้อนที่ 2-4   คือ “เงินสมทบจากบริษัท” “ผลประโยชน์เงินสะสม” และ “ผลประโยชน์เงินสมทบ”  นั้น จะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และนำส่ง ภ.ง.ด. 90   โดยคำนนวณได้ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับระยะเวลา(อายุงาน) ในการทำงานของพนักงาน  


กรณีที่ 1 มีอายุงานน้อยกว่า 5 ปี

เงินก้อนที่ 2-4   คำนวณเหมือนเงินโบนัสพิเศษทั่วไปค่ะ คือ คำนวณตามมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้ หัก ค่าใช้จ่าย หัก ค่าลดหย่อย เป็นเงินได้สุทธิ และนำมาคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าค่ะ 


กรณีที่ 2 มีอายุงานไม่น้อยกว่า 5 ปี 

เงินก้อนที่ 2-4  จะได้รับสิทธิแยกคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่างหากจากเงินได้ประจำ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง หรือโบนัส โดยให้กรอกในใบแบบ ภ.ง.ด.91 อันจะทำให้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อยลง โดย คำนวณภาษีตามมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ดังนี้

    ค่าใช้จ่ายส่วนแรกคำนวณโดยใช้ 7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน แต่ไม่เกินเงินได้

    ค่าใช้จ่ายส่วนที่สองให้หักค่าใช้จ่ายได้อีก 50% ของเงินได้ส่วนที่เหลือ

    คงเหลือเป็นเงินได้สุทธิให้นำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า)

โดยปกติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นไว้เรียบร้อยแล้ว หากไม่มีเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานอื่นใดอีก ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้เพิ่มเติมแต่อย่างใด


     มาตรา 48  เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้
 
      (5) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากับ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน แต่ไม่เกินเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้นแล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้
 
            ในกรณีเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จจำนวนหนึ่งและเงินบำนาญอีกจำนวนหนึ่ง ให้ถือว่าเฉพาะเงินที่จ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จเป็นเงินซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานและให้ลดค่าใช้จ่ายจำนวน 7,000 บาท ลงเหลือ 3,500 บาท
จำนวนปีที่ทำงานตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ที่ทางราชการจ่าย ให้ถือจำนวนปีที่ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นในลักษณะเดียวกันนั้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับของทางราชการ
ในการคำนวณจำนวนปีที่ทำงาน นอกจากกรณีตามวรรคสาม เศษของปี ถ้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ถือเป็นหนึ่งปี ถ้าไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ปัดทิ้ง
"ถ้าภาษีเงินได้ที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินแล้วมีจำนวนต่ำกว่า 5 บาท เป็นอันไม่ต้องเรียกเก็บ"
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2534 ใช้บังคับปีภาษี 2535 เป็นต้นไป )
             ( ดูประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) )    
             ( พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 18 ) พ.ศ. 2504 ใช้บังคับปีภาษี 2505 เป็นต้นไป )

อ้างอิง

เรื่อง

เงินชดเชยจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 03/08/2024 - วันที่ตอบ 12/08/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ข้อกฎหมาย

-

ปุจฉา

เมื่อปี 2564 บริษัทฯ ได้ให้ออกจากงานที่ทำมาได้ 1.9 ปี มีเงินชดเชยให้ และบริษัทฯ ให้ออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งยอดในกองทุนได้โอนมาจากกองทุนบริษัทก่อนหน้าที่สะสมทั้งหมด 5 ปี และได้สะสมต่อที่บริษัทใหม่อึก 1.9 ปี ทางกองทุนได้โอนเงินคืนให้แล้ว

อยากเรียถามอาจารย์ว่า
 
เงินผลประโยชน์และส่วนสมทบจากนายจ้างที่กองทุนคืนมาต้องเอาไปคำนวณภาษีอย่างไรคะตอนนี้ทางสรรพากรเรียกตรวจย้อนหลังปี 2564 ซึ่งเงินสะสมเป็นยอดค่อนข้างใหญ่ค่ะ หากต้องเสียภาษีจากเงินก้อนนี้จะเดือดร้อนมาก ๆ เลยค่ะ เพราะตอนนั้นใช้จ่ายเงินก้อนนั้นช่วงที่ว่างงานค่ะ

วิสัชนา

กรณีออกจากงานโดยไม่เข้าเงื่อนไขอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งจะได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้  

    1. เงินสะสม คือ เงินที่เราหักจากเงินเดือนเราทุกเดือน เป็นส่วนที่ไม่ต้องนำมาเสียภาษี  หรือเรียกว่า “ก้อนที่ 1” เพราะเป็นส่วนที่เราได้สะสมเข้าเองจากเงินเดือนที่เรานำไปเสียภาษีเงินได้ไว้แล้ว

    2เงินสมทบ คือ เงินที่เราได้จากนายจ้างทุกเดือน

    3. ผลประโยชน์เงินสะสม คือ เงินที่งอกเงยจากการลงทุนของเงินสะสม

    4. ผลประโยชน์เงินสมทบ คือ เงินที่งอกเงยจากการลงทุนของเงินสมทบ

   

สำหรับส่วนอื่น ๆ คือ “เงินสมทบ” “ผลประโยชน์เงินสะสม” และ “ผลประโยชน์เงินสมทบ” เรียกว่า “ก้อนที่ 2” นั้น จะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดในกรณีมีระยะเวลาการทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินก้อนที่ 2 จะได้รับสิทธิแยกคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่างหากจากเงินได้ประจำ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง หรือโบนัส โดยให้กรอกในใบแบบ ภ.ง.ด.91 อันจะทำให้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อยลง โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ดังนี้

    ค่าใช้จ่ายส่วนแรกคำนวณโดยใช้ 7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน แต่ไม่เกินเงินได้

    ค่าใช้จ่ายส่วนที่สองให้หักค่าใช้จ่ายได้อีก 50% ของเงินได้ส่วนที่เหลือ

    คงเหลือเป็นเงินได้สุทธิให้นำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า)

โดยปกติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะคำนวณหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นไว้เรียบร้อยแล้ว หากไม่มีเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานอื่นใดอีก ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้เพิ่มเติมแต่อย่างใด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"



หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ