Case study

ภาษีขายสำหรับเงินทุนวิจัยที่ได้รับ เเละการเครดิตภาษีซื้อ


เรื่อง ภาษีขายสำหรับเงินทุนวิจัยที่ได้รับ เเละการเครดิตภาษีซื้อ
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 24/11/2024
ประเภทภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย
คำถาม

 บริษัท ฯ ได้รับทุนวิจัย  จากหน่วยงานราชการเเห่งหนึ่ง  โดยไม่มีภาระผูกพันใดๆ กับผู้ให้ทุน

บริษัท ฯ มีค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการ เช่น  ค่าวัสดุในการวิจัย เช่น หลอดตัวอย่าง , น้ำยา ทางการแพทย์ สำหรับวิจัย  ค่าอบรมนักวิจัย  .ค่าเช่าสถานที่วิจัย ห้องทดลอง  ค่าที่ปรึกษา ค่านักวิจัย เป็นต้น

คำถาม

1. เงินวิจัยที่ได้รับ บริษัทต้องนำส่งภาษีขายหรือไม่

2. ภาษีซื้อที่เกิดขึ้นการจ่ายเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าว บริษัทสามารถนำมาเครดิตได้หรือไม่

คำตอบ

ตอบ 


การที่บริษัท ฯ ไม่มีภาระผูกพัน เเละไม่ต้องส่งมอบผลิตภัณฑ์ใด ๆ ให้แก่ ผู้ให้ทุน 

แสดงว่า บริษัทไม่ได้ให้ขาย หรือ ให้บริการใดๆ กับหน่วยงาน   แต่ ทุนวิจัย เป็นเหมือนทุนให้เปล่า(โดยไม่มีข้อตอบแทน)  ดังนั้น  จึงไม่เข้านิยามตาม มาตรา 77/1(8) และ (10) และ ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2

          

มาตรา 77/1 ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

(8) " ขาย " หมายความว่า จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึง

(10) " บริการ " หมายความว่า การกระทำใด ๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า และให้หมายความรวมถึงการใช้บริการของตนเอง ไม่ว่าประการใดๆ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึง


มาตรา 77/2การกระทำกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามบทบัญญัติในหมวดนี้
 (1) การขายสินค้าหรือการให้บริการโดยผู้ประกอบการ



สำหรับ ภาษีซื้อ  ถ้าบริษัทสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้ง ว่า เกี่ยวข้องกับกิจการ เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่กิจการ และ อาจก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต      บริษัทสามารถนำมาใช้สิทธิเป็นภาษีซื้อได้ ไม่ถือเป็นภาษีซื้อที่ไม่ให้นำมาหักตามมาตรา 82/5(3) 

 

มาตรา 82/5   ภาษีซื้อในกรณีดังต่อไปนี้ ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3
    (3) 
ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ ของผู้ประกอบการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

( ดูประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) ) 



อ้างอิง 

เลขที่หนังสือ

: กค 0706/2752

วันที่

:31 มีนาคม 2549

เรื่อง

:ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีสิทธิประโยชน์ของผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

ข้อกฎหมาย

:มาตรา 65 มาตรา 79 มาตรา 82 และประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 3)ฯ ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2539

ข้อหารือ

:             บริษัท อ. จำกัด(บริษัทฯ) ประกอบกิจการผลิต จำหน่าย เยื่อแผ่นที่ใช้เกี่ยวกับการกรองน้ำและรับปรึกษา ออกแบบการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยที่บริษัทฯ ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการการผลิตเมมเบรนออสโมซิสผันกลับ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ผู้ให้ทุน) ตามสัญญารับทุนอุดหนุนโครงการนวัตกรรมในโครงการ "แปลงเทคโนโลยีเป็นทุน" สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2548 (สัญญาฯ) ซึ่งตามข้อ 1 ของสัญญาฯ ระบุว่า"...ผู้ให้ทุนจะสนับสนุนด้านการเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าตามระเบียบคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติว่าด้วยการสนับสนุนโครงการนวัตกรรม พ.ศ.2547..." และตามข้อ 9 ของสัญญาฯ ระบุว่า "ผู้รับทุนจะต้องนำผลงานที่ผู้ให้ทุนได้ตรวจรับแล้วไปพัฒนาโครงการตามข้อเสนอให้เต็มรูปแบบต่อไปตามวัตถุประสงค์ หรือใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างผลผลิตด้วยค่าใช้จ่ายของผู้รับทุนเอง ในกรณีที่ผู้ให้ทุนตรวจพบว่า
: 1.1 ผู้รับทุนมีเจตนาไม่ใช้ประโยชน์จากผลงานของโครงการนวัตกรรมตามวัตถุประสงค์ภายใน 1 ปี นับจากวันที่ผู้ให้ทุนตรวจรับผลงานตามโครงการ ทั้งที่สามารถกระทำได้ หรือ
: 1.2 ผู้รับทุนได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรหลังจากที่ได้ดำเนินโครงการแล้ว แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิทธิบัตรนั้นในเชิงอุตสาหกรรม หรือเชิงพาณิชยกรรมภายใน 2 ปีนับแต่วันที่ได้รับสิทธิบัตร
: ผู้รับทุนต้องโอนมอบกรรมสิทธิ์ และ/หรือ สิทธิบัตรในงานนั้นและสิทธิอื่นใดทางทรัพย์สินทางปัญญานั้นให้แก่ผู้ให้ทุนโดยปราศจากเงื่อนไขข้อสงวนใดๆ โดยผู้ให้ทุนจะพิจารณา จ่ายค่าตอบแทนสิทธิได้ตามสัดส่วนงบประมาณการลงทุนในโครงการ
: บริษัท โมเดอร์นฯ จึงขอทราบว่า
: 1. เงินทุนอุดหนุนโครงการนวัตกรรม ที่บริษัทฯ ได้รับจากผู้ให้ทุน โดยผู้ให้ทุนจะสนับสนุนด้านการเงินในรูปแบบเงินอุดหนุนแบบให้เปล่า ตามระเบียบคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติว่าด้วยการสนับสนุนโครงการนวัตกรรม พ.ศ.2547 ตามข้อ 1 สัญญาฯ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่
: 2. บริษัทฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี สำหรับการรับจัดทำการวิจัยโครงการดังกล่าว อย่างไรบ้าง
: 3. บริษัทฯ ต้องดำเนินการอย่างไร จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและด้านค่าใช้จ่าย สำหรับการรับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
: 4. รายจ่ายค่าเครื่องจักร ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายไปต้องบันทึกบัญชีเป็นทรัพย์สินและหักค่าเสื่อมราคาตามระยะเวลา หรือมีสิทธิบันทึกเป็นรายจ่ายได้ทันทีที่มีการซื้อเครื่องจักรสำหรับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
: 5. บริษัทฯ มีสิทธินำสำเนาเอกสารค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการวิจัยตามโครงการดังกล่าว มาบันทึกบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ เนื่องจากบริษัทฯ ต้องนำส่งต้นฉบับเอกสารค่าใช้จ่ายให้กับผู้ให้ทุน
 :            6. ภาษีซื้อของบริษัทฯ ที่เกิดขึ้นถือเป็นรายจ่ายในการดำเนินงานได้หรือไม่ เนื่องจากบริษัทฯ ยังมิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและตามสัญญา ค่าภาษีอากร ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการได้รับเงินทุนอุดหนุนโครงการ บริษัทฯ มีสิทธินำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการไม่ได้

แนววินิจฉัย

:            1. กรณีตาม 1 บริษัทฯ ได้รับสนับสนุนด้านการเงินในรูปแบบเงินอุดหนุนแบบให้เปล่า ตามระเบียบคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติว่าด้วยการสนับสนุนโครงการนวัตกรรม พ.ศ. 2547 ไปแล้วบริษัทฯ จะต้องนำผลงานที่ผู้ให้ทุนได้ตรวจรับแล้วไปพัฒนาโครงการตามข้อเสนอให้เต็มรูปแบบต่อไปตามวัตถุประสงค์ หรือใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างผลผลิตด้วยค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ เอง หากบริษัทฯ มิได้ดำเนินการดังกล่าวและผู้ให้ทุนตรวจพบ บริษัทฯ จะต้องมอบกรรมสิทธิ์ และ/หรือ สิทธิบัตรในงานนั้นและสิทธิอื่นใดทางทรัพย์สินทางปัญญานั้นให้แ

ก่ผู้ให้ทุน ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวเป็นเพียงการติดตามและตรวจสอบโครงการของผู้ให้ทุนเท่านั้น กรณีจึงไม่ถือว่าบริษัทฯ มีข้อผูกมัดที่จะต้องตอบแทนหรือให้บริการคืนหรือต้องกระทำการใดๆ ตอบแทนสำหรับเงินที่ได้รับในรูปแบบเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าแต่อย่างใด เงินสนับสนุนดังกล่าวจึงมิใช่มูลค่าของฐานภาษีที่บริษัทฯ ได้รับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ ตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่บริษัทฯ จะต้องนำเงินอุดหนุนดังกล่าว ไปถือเป็นรายได้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
: 2. กรณีตาม 2 และ 3 การขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กรณีรับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัทฯ ต้องปฏิบัติตามประกาศกรมสรรพากร เรื่อง การยื่นคำขอเป็นผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ลงวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2545 โดยยื่นแบบคำขอเป็นผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี (ว.พ.01) และเอกสารประกอบการพิจารณาต่อกรมสรรพากร เพื่อพิจารณาเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามข้อ 6 ของประกาศกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับภาษีเงินได ้(ฉบับที่ 3) เรื่อง กำหนดหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ลงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2539 และหากบริษัทฯ ได้รับการประกาศให้เป็นผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ตามประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 4) เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ลงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2539 แล้ว บริษัทฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการรับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ดังนี้
: 2.1 กรณีรับทำการวิจัยและพัฒนาให้กับตนเอง บริษัทฯ ต้องยื่นโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวต่อสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติก่อนหรือหลังการว่าจ้าง เพื่อตรวจสอบและรับรองว่า โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการวิจัยอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานหรือการวิจัยเชิงประยุกต์ เมื่อโครงการได้รับการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติแล้ว ก็ให้ถือว่า โครงการดังกล่าวเป็นการวิจัยอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานหรือการวิจัยเชิงประยุกต์ โดยค่าจ้างที่บริษัทฯ จ่ายให้กับหน่วยงานของบริษัทฯ ในกรณีที่ได้รับการประกาศให้เป็นผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่ายดังกล่าว ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2539
: 2.2 บริษัทฯ สามารถรับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่น โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ว่าจ้างจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้เป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2539
: 3. กรณีตาม 4 เครื่องจักรและอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัทฯ มีสิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน โดยให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในวันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในอัตราร้อยละ 40 ของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา 4 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 และบริษัทฯ ต้องดำเนินการยื่นแบบ ค.จ.01 ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 48) เรื่อง กำหนดแบบแจ้งการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ของเครื่องจักร เพื่อการวิจัยและพัฒนาตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 ด้วย
: 4. กรณีตาม 5 เนื่องจากบริษัทฯ ต้องนำต้นฉบับเอกสารค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ส่งให้กับผู้ให้ทุนเพื่อพิจารณาโครงการ โดยที่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ดังนั้น หากบริษัทฯ มีหลักฐานการจ่ายเงินซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นผู้รับ บริษัทฯ มีสิทธินำรายจ่ายดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) และ (18) แห่งประมวลรัษฎากร
 :            5. กรณีตาม 6 ค่าใช้จ่ายก่อนที่บริษัทฯ จะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากบริษัทฯ ได้รับใบกำกับภาษีก่อนวันจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือเป็นภาษีซื้อที่เกิดก่อนวันที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่มาชำระเงินและได้รับใบกำกับภาษีภายหลังจากวันที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ถือเป็นภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบการของผู้ประกอบการ จึงต้องห้ามไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/5(3) แห่งประมวลรัษฎากร แต่บริษัทฯ มีสิทธินำภาษีซื้อดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

:69/34040


เรื่อง

ภาษีซื้อของรายได้ out of scope

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 08/10/2024 - วันที่ตอบ 09/10/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

รบกวนสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับภาษีซื้อของรายได้ out of scope เราสามารถนำมายื่นขอคืนในแบบ ภพ.30 ได้หรือไม่คะ

วิสัชนา

เกี่ยวกับภาษีซื้อสำหรับรายได้ของผู้ประกอบการจดทะเบียน นั้น

1. กรณีภาษีซื้อสำหรับรายได้จากการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ การขายสินค้าหรือการให้บริการในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% หรือ 0% ตามมาตรา 80 หรือมาตรา 80/1 แห่งประมวลรัษฎากร หรือกิจกรรม In - In หรือ In - Out Activities แล้วแต่กรณี ให้นำมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ทั้งจำนวน



 
2. กรณีภาษีซื้อสำหรับรายได้ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษ๊มูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) ฯ นั้น ให้นำมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ทั้งจำนวน


  

3. กรณีภาษีซื้อสำหรับรายได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1) หรือ มาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร รวมทั้งตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 ฯ หรือราการรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีอื่นใด และภาษีซื่อสำหรับรายรับที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ หรือได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/2 และมาตรา 91/3 แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี นั้น ไม่ให้นำมาใช้เป็นเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ฯ แต่ยอมให้นำไปถือเป็นรายจ่าย หรือต้นทุนของทรัพย์สินได้ ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร


 
4. กรณีภาษีซื้อสำหรับการประกอบกิจการ ทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซี่งผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาในการประกอบกิจการของตนไปใช้หรือจะใช้ในกิจการทั้งสองประเภท โดยไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อที่เกิดจากสินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด ให้เฉลี่ยภาษีซื้อตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535  


  

5.กรณีภาษีซื้อสำหรับรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) ไม่ว่าจะเกิดจากการประกอบกิจการในราชอาณาจักร (In - In) หรือนอกราชอาณาจักร (Out - Out) นั้น แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้

    (1) สำหรับภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม นั้น ไม่ให้นำมาใช้เป็นเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ฯ แต่ยอมให้นำไปถือเป็นรายจ่าย หรือต้นทุนของทรัพย์สินได้ ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร

    (2) สำหรับภาษีซื้อที่ใช้ร่วมกันของรายได้จากการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ตามข้อ 1 กับรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามข้อ 5 นี้ โดยไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อที่เกิดจากสินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้สิทธินำภาษีซื้อในกรณีนี้มาใช้เป็นเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ต้องนำรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีตามข้อ 5 นี้ มาใช้เป็นฐานในการเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามข้อ 4 วรรคสอง ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 ดังนี้

         "ข้อ 4 รายได้ตามข้อ 2 และข้อ 3 หมายความว่า

               (1) รายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่า มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่มูลค่าของฐานภาษีของกิจการให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยานหรือเรือเดินทะเล ในกรณีรับขนคนโดยสาร ให้หมายความรวมถึงมูลค่าของค่าโดยสาร ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บ นอกราชอาณาจักรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เนื่องในการรับขนคนโดยสารด้วยหรือในกรณีรับขนสินค้าให้หมายความรวมถึงมูลค่าของค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เนื่องในการรับขนสินค้าเข้าในราชอาณาจักรด้วย

               (2) รายได้ของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายความว่า มูลค่าของฐานภาษีของกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รายรับของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และรายรับของกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ และให้หมายความรวมถึงรายรับสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 26 มาตรา 27 มาตรา 28 มาตรา 29 และมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534" 

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 67) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นไป)

                   "รายได้ตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึง

                    (ก) รายได้ที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนนำเงินไปหาประโยชน์โดยการฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ หรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินอื่น แต่ทั้งนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับการประกอบกิจการตามมาตรา 91/2 (1)(2) และ (3) แห่งประมวลรัษฎากร

                    (ข) รายได้ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีการกู้ยืมเงินกันเองในระหว่างบริษัทในเครือเดียวกัน

                         คำว่า "บริษัทในเครือเดียวกัน" หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปซึ่งมีความสัมพันธ์กันโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอีกแห่งหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือนก่อนวันที่มีการกู้ยืม

                    (ค) รายได้ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงานหรือทุนอื่นใดเพื่อพนักงาน และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้นำเงินกองทุนนี้ออกให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกู้ยืมเป็นสวัสดิการ

                    (ง) รายได้ที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีการประกอบกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร"

(ความตามวรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 153) ใช้บังคับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป)



 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

    ภาษีซื้อสำหรับรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) ไม่ว่าจะเกิดจากการประกอบกิจการในราชอาณาจักร (In - In) หรือนอกราชอาณาจักร (Out - Out) นั้น บริษัทฯ สามารถนำมาใช้เป็นเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ในแบบ ภพ.30 ได้ทั้งจำนวน หากมีการใช้ภาษีซื้อรายการนั้น ๆ ร่วมกับกับการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อที่เกิดจากสินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด โดยไม่ต้องเฉลี่ยภาษีซื้อ แต่อย่างใด

    แค่ถ้าภาษีซื้อรายการนั้น ๆ ใช้โดยตรงกับเฉพราะรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) ก็ย่อมไม่อาจนำภาษีซื้อรายการนั้น ๆ มาใช้เป็นเครดิตหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะเข้าลักษณะเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"


หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ