Case study

แนวทางการจัดการสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเกินจากคำสั่งซื้อและใบแจ้งหนี้


เรื่อง แนวทางการจัดการสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเกินจากคำสั่งซื้อและใบแจ้งหนี้
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 21/10/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย
คำถาม

บริษัทดำเนินธุรกิจเอาหารและเครื่องดิ่ม ต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยมีนโยบายและข้อตกลง กับ supplier กรณี สินค้าที่รับจริง ขาดหรือเกินจาก PO และ invoice มูลค่าไม่เกิน 100USD จะไม่มีการ เคลมสินค้าระหว่างกัน 

เมื่อสินค้าส่งมาถึงประเทศไทย จะทำการ เคลียร์สินค้ากับกรมศุลกากร ตาม invoice และเมื่อจัดส่งสินค้าถึงคลัง พบว่า มีจำนวนสินค้าเกินจาก PO และ invoice มีมูลค่าไม่เกิน 100 USD 

บริษัทมีความประสงค์จะสอบถามว่า : 

1.บริษัทสามารถดำเนินการ รับสินค้า ที่เกิน มูลค่าไม่เกิน 100 USD เข้าเป็นสต๊อกสินค้า โดยดำเนินการ ปรับสต๊ฮกเข้าระบบเป็นสต๊อกเกินได้หรือไม่ การปรับสต๊ฮกดังกล่าวบริษัทต้องนำยื่นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมหรือไม่ 

2.กรณีที่สินค้าเกินจาก POและ invoice นี้ หากบริษัทฯไม่ได้มีการรับเข้าเป็นสต๊อก และไม่ได้มีการนำสินค้าที่เกินนี้ออกมาขาย บริษัทฯสามารถนำสินค้านี้มาใช้ในกิจการได้หรือไม่ กรณีนี้บริษัทฯต้องนำส่งภาษีอย่างไร 

3.หากไม่สามารถดำเนินการในข้อ 1และ2 ได้ มีแนวทางใดที่บริษัทาต้องดำเนินการกับสินค้าที่เกิน อยู่นอกระบบนี้

คำตอบ

แนวปฏิบัติกรณีสินค้านำเข้าเกินจากเอกสารในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

1. การรับสินค้าเกินเข้าระบบสต๊อกโดยไม่เคลมกับผู้ขาย (และเรื่องภาษีนำเข้า)

คำถาม: บริษัทสามารถรับสินค้าส่วนที่เกินจำนวนเข้าระบบเป็นสต๊อก เช่น ในระบบ FIFO / Average Weighted เป็นต้น ได้เลยโดยไม่ต้องเคลมกับผู้ขายหรือไม่ และในกรณีนี้จำเป็นต้องยื่นชำระภาษีนำเข้าเพิ่มเติมหรือไม่?

คำตอบ: 
 ในทางบัญชีบริษัทสามารถนำสินค้าส่วนเกินบันทึกเข้า Stock ได้ แต่ในทางภาษีบริษัท 
ไม่สามารถ นำสินค้าที่เกินมาเข้า Stock โดยไม่ดำเนินการทางศุลกากรเพิ่มเติมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากยังไม่ได้ชำระภาษีอากรสำหรับส่วนที่เกินนั้น ตามกฎหมายศุลกากร สินค้านำเข้าทุกชิ้น จะต้องได้รับการสำแดงในใบขนสินค้าและชำระอากร/ภาษีครบถ้วน การสำแดงปริมาณหรือมูลค่าสินค้านำเข้าไม่ตรงความจริง เช่น นำเข้ามามากกว่าที่ระบุในใบขน ถือเป็นความผิดตาม มาตรา 202 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท 

ดังนั้น ในทางปฏิบัติ บริษัทควรแจ้งต่อกรมศุลกากรเพื่อแก้ไขข้อมูลการนำเข้า และชำระภาษีอากรส่วนที่ยังขาดสำหรับสินค้าส่วนเกินนั้น กรมศุลกากรมีแนวทางให้ผู้นำเข้าแก้ไขใบขนสินค้าได้หากพบความคลาดเคลื่อนภายหลัง โดยถือว่าเป็นการ “พบความผิดด้วยตนเอง” และเข้าข่ายการเปรียบเทียบปรับเพื่อ งดการฟ้องร้อง ตามหลักเกณฑ์ของศุลกากร ในกรณีที่ผู้นำเข้าแจ้งเองว่ามีของนำเข้าเกินกว่าที่สำแดงหลังจากรับของไปแล้ว โดยไม่มีเจตนาทุจริต และแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนที่ศุลกากรจะตรวจพบ บริษัทจะถูกปรับเพียงเล็กน้อย (มาตรฐานคือ ปรับ 1,000 บาท) และต้องชำระอากรขาเข้า/ภาษีที่ขาดให้ครบพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามกฎหมาย สินค้าส่วนเกินจึงจะถือว่าได้รับการนำเข้าโดยถูกต้อง และบริษัทก็สามารถบันทึกเข้า Stock และนำไปใช้หรือจำหน่ายต่อได้อย่างสบายใจ

สรุป : 
 บริษัทไม่ควรรับสินค้าเกินเข้า Stock โดยไม่ดำเนินการใดๆ เนื่องจากผิดกฎหมายศุลกากร แนวทางที่ถูกต้องคือ แจ้งแก้ไขใบขนสินค้าและชำระภาษีนำเข้าเพิ่มเติม สำหรับส่วนที่เกินนั้น ไม่มีข้อยกเว้นเรื่องวงเงินเล็กน้อย $100 สำหรับการละเว้นภาษีอากร – แม้มูลค่าสินค้าจะน้อย ก็ยังต้องชำระอากรขาเข้า/ภาษีมูลค่าเพิ่มให้ครบตามกฎหมายหากมีการนำเข้ามาจริง

 

2. กรณีไม่รับสินค้าเกินเข้าสต๊อก ไม่นำออกจำหน่าย แต่ใช้ในกิจการภายใน

คำถาม: หากบริษัทเลือกจะไม่บันทึกสินค้าส่วนเกินเข้าระบบสต๊อกเลย และจะไม่นำไปขาย แต่จะนำมาใช้ในกิจการภายในเอง เช่น ใช้ทดลองคุณภาพสินค้า หรือบริโภคภายในบริษัท กรณีนี้จำเป็นต้องเสียภาษีนำเข้าเพิ่มเติมหรือภาษีอื่นใดหรือไม่?

คำตอบ: 
 แม้ว่าสินค้าส่วนเกินนั้นจะ ไม่ได้ถูกนำออกจำหน่าย แต่การนำสินค้าเข้ามาใช้ในประเทศไทย (ไม่ว่าจะใช้เองหรือขาย) ก็ถือเป็นการนำเข้า ตามกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดหน้าที่ต้องเสียภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าอยู่ดี การเสียภาษีนำเข้าและ 
VAT ไม่ได้ขึ้นกับว่าจะขายสินค้านั้นหรือไม่ แต่ขึ้นกับการนำสินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 82/14 ประมวลรัษฎากร ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้า ณ วันที่เกิดภาระภาษี (คือวันที่นำของเข้า) โดยคำนวณจากฐานภาษีศุลกากรและอัตราภาษีที่กำหนด ดังนั้นสินค้าที่เข้ามาเกินเอกสาร แม้บริษัทจะไม่นำไปขาย แต่ก็ยังเป็น ของที่นำเข้า ซึ่งต้องชำระอากรขาเข้าและ VAT ให้ถูกต้องครบถ้วน

ไม่มีข้อยกเว้นทางกฎหมายที่ระบุว่า “ของนำเข้าเพื่อใช้เองภายในกิจการไม่ต้องเสียภาษี” เว้นแต่กรณีที่เข้าข่ายได้รับยกเว้นอากร/ภาษีเป็นพิเศษ เช่น นำเข้ามาในเขตปลอดอากร เขตส่งออก 0% หรือเป็นของที่มีกฎหมายยกเว้นเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่กรณีนี้ 

การที่บริษัทไม่นำสินค้าส่วนเกินเข้า Stock หรือไม่นำไปขาย ไม่ได้ทำให้ภาระภาษีนำเข้าหมดไป หากยังไม่ได้ชำระภาษีส่วนของที่เกิน บริษัทก็ยังมีความเสี่ยงในเชิงกฎหมายเช่นเดียวกับกรณีที่แอบรับเข้า Stock ไปขาย

ดังนั้น ในทางปฏิบัติ บริษัทควรแจ้งต่อกรมศุลกากรเพื่อแก้ไขข้อมูลการนำเข้า และชำระภาษีอากรส่วนที่ยังขาดสำหรับสินค้าส่วนเกินนั้น ตามคำตอบข้อ 1

สำหรับภาษีอื่นๆ นอกเหนือจากภาษีนำเข้าและ VAT: 
 การนำสินค้าไปใช้ภายในกิจการเอง (หลังจากที่ผ่านพิธีการถูกต้องแล้ว) โดยทั่วไปไม่มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติม เนื่องจากไม่มีการขายสินค้าเกิดขึ้น (และถือว่าใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจเอง) อย่างไรก็ตาม หากบริษัทไม่สำแดงส่วนเกินนี้และไม่ชำระภาษีตั้งแต่ต้น การนำไปใช้ภายในก็ถือว่าใช้ของที่ยังไม่ผ่านศุลกากร ซึ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นประเด็นสำคัญคือเรื่องภาษีศุลกากรและ 
VAT ตอนนำเข้า ที่ต้องชำระให้ครบ; หลังจากนั้นการใช้ในกิจการภายในไม่ถือว่าเกิดภาษีขายใดๆ เพิ่มเติม (หากการใช้นั้นเพื่อกิจการและไม่เข้าข่ายเป็นการให้เปล่าหรือสวัสดิการที่อาจมีภาระภาษี)

สรุป: 
 แม้ว่าสินค้าส่วนเกินจะไม่ถูกขายแต่ถูกใช้ภายใน บริษัทก็ยังคงต้องชำระภาษีนำเข้าและ VAT ของสินค้าส่วนนั้นให้ถูกต้อง ไม่มีข้อยกเว้นเรื่องภาษีนำเข้าเพียงเพราะไม่ได้นำไปขาย. การใช้สินค้าภายในเองหลังผ่านศุลกากรแล้วจะไม่มี VAT เพิ่มอีก แต่ถ้าไม่ผ่านศุลกากรให้ถูกต้องตั้งแต่แรกก็ถือว่าผิดกฎหมาย

 

3. แนวทางที่เหมาะสมในการจัดการกับสินค้าที่เกินซึ่งไม่มีในเอกสารศุลกากรหรือระบบสต๊อก

คำถาม: หากวิธีทั้งสองข้างต้น (รับเข้า Stock เลยหรือเก็บไว้ใช้เองโดยไม่บันทึก) ไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้อง บริษัทควรจัดการกับสินค้าที่มาเกิน (ซึ่งไม่ปรากฏในเอกสารศุลกากรและระบบสต๊อก) อย่างไรให้เหมาะสมและถูกกฎหมาย?

คำตอบ: 
 แนวปฏิบัติที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
คือการดำเนินการให้สินค้าส่วนเกินนั้นได้รับการรับรองทางศุลกากรอย่างถูกต้อง ดังนี้:

  • แจ้งต่อศุลกากรและแก้ไขใบขนสินค้า: 
     บริษัทควรรีบติดต่อหน่วยงานศุลกากร (ด่านที่นำของเข้ามา) เพื่อยื่นคำร้องขอแก้ไขใบขนสินค้านำเข้า ให้ปรับจำนวน/มูลค่าสินค้าให้ตรงกับของที่เข้ามาจริง จะต้องจัดทำหนังสือชี้แจงเหตุผลแนบหลักฐานที่เกี่ยวข้องว่าเหตุใดข้อมูลคลาดเคลื่อน เช่น สำเนา PO/invoice, เอกสารการขนส่ง แสดงว่าผู้ขายส่งมาเกินโดยมิได้เรียกเก็บเงินเพิ่ม เป็นต้น พร้อมทั้งนำสินค้าส่วนที่เกินอยู่ในคลังมาให้ตรวจสอบหากจำเป็น การยื่นแก้ไขนี้สามารถทำได้แม้สินค้าจะผ่านพิธีการไปแล้ว โดยให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขข้อมูลในระบบให้ถูกต้อง
  • ชำระภาษีอากรและค่าปรับที่เกี่ยวข้อง: 
     หากการแก้ไขข้อมูลแสดงว่า บริษัทชำระภาษีอากรขาดไป (เนื่องจากมีของเข้ามาเกินโดยยังไม่เสียภาษี) ศุลกากรจะออกหนังสือประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้า/ภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนที่ขาด พร้อมทั้งเงินเพิ่ม (ดอกเบี้ย/เบี้ยปรับตามเวลาที่ค้าง) และค่าปรับตามกฎหมาย ในกรณีที่บริษัทแจ้งแก้ไขโดยสมัครใจและไม่มีเจตนาปกปิด ดังที่กล่าวในข้อ 1, ค่าปรับจะถูกเปรียบเทียบให้ในอัตราที่ผ่อนปรนมาก (เพียงประมาณ 1,000 บาทตามประกาศกรมศุลกากร) บริษัทต้องชำระเงินส่วนนี้ให้ครบถ้วนเพื่อให้กระบวนการนำเข้าสมบูรณ์ถูกต้อง
  • บันทึกสินค้าเข้าระบบ Stock (หรือจัดการตามความเหมาะสม): 
     เมื่อได้แก้ไขเอกสารศุลกากรและชำระภาษีครบแล้ว สินค้าส่วนเกินนั้นก็ถือว่าเป็นสินค้าที่นำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถนำไปบันทึกเพิ่มในระบบ Stock ของบริษัทต่อไป การบันทึกในระบบอาจบันทึกเป็น “
    ส่วนเกินจากการนำเข้า” โดยมีต้นทุนเป็นศูนย์หรือปรับต้นทุนถัวเฉลี่ยตามนโยบายบัญชีของบริษัท แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการบันทึกจำนวนให้ตรงกับของจริง เพื่อความโปร่งใส หลังจากนั้น บริษัทจะนำสินค้าส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์ใดๆ (ขาย, ใช้ทดลอง, หรือบริโภคภายใน) ก็สามารถทำได้โดยปกติเพราะผ่านพิธีการครบแล้ว หากมีการจำหน่ายก็เรียกเก็บ VAT การขายตามปกติ และรายได้ก็ต้องบันทึกและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ; หากใช้ภายในก็ไม่มีภาษีการขายเพิ่มตามที่อธิบายในข้อ 2
  • ทางเลือกอื่นในกรณีไม่ต้องการเก็บของส่วนเกินไว้: 
     หากบริษัทไม่ประสงค์จะเก็บสินค้าส่วนเกินนี้ไว้ใช้งานเลย เช่น สินค้าอาจหมดอายุเร็ว ไม่คุ้มจัดการ หรือไม่ตรงสเปคที่ต้องการ แนวทางที่ถูกต้องคือ ติดต่อศุลกากรเพื่อดำเนินการในทางหนึ่งทางใด ได้แก่ 
    (ก) ส่งกลับออกไปต่างประเทศ (Re-export) คืนให้ผู้ขาย โดยดำเนินพิธีการส่งออกหรือขอให้อยู่ในความควบคุมของศุลกากรก่อนส่งออก, (ข) สละสิทธิ์ในของ ให้ตกเป็นของรัฐ (กรมศุลกากร) ซึ่งมักใช้ในกรณีของตกค้างหรือของต้องห้ามมากกว่า, หรือ (ค) ขอทำลายของ ภายใต้การกำกับของศุลกากร เช่น ถ้าของไม่มีมูลค่าหรือไม่ควรนำเข้ามาใช้ การดำเนินการเหล่านี้ก็ต้องผ่านความเห็นชอบของศุลกากรและอาจมีขั้นตอนเอกสารที่ต้องจัดทำ แต่สำหรับของมูลค่าเล็กน้อยเช่นกรณีนี้ การชำระภาษีและเก็บไว้ใช้/ขาย มักจะเป็นวิธีที่ง่ายและคุ้มค่ากว่าการส่งกลับหรือทำลาย

ตารางสรุปแนวปฏิบัติกรณีสินค้านำเข้าเกินจากเอกสาร

 

ลำดับ

กรณี

การปฏิบัติทางบัญชี

การปฏิบัติทางศุลกากร/ภาษี

ภาษีที่เกี่ยวข้อง

หมายเหตุสำคัญ

1

รับสินค้าเกินเข้าระบบ Stock โดยไม่เคลมกับผู้ขาย

- สามารถบันทึกสินค้าเกินเข้า Stock ได้ในระบบ (FIFO / Average Weighted)
 - ควรบันทึกหมายเหตุ “รอการชำระภาษีนำเข้าเพิ่มเติม”

- ต้องแจ้งแก้ไขใบขนสินค้า และชำระอากร/ภาษีที่ขาด
- หากแจ้งเองก่อนถูกตรวจพบ ปรับเพียง 1,000 บาท (ตามมาตรา 202 พ.ร.บ.ศุลกากร 2560)
 - ชำระอากรขาเข้าและ VAT ให้ครบ

อากรขาเข้า
 VAT จากการนำเข้า

ไม่มีข้อยกเว้นแม้มูลค่าต่ำกว่า $100; ต้องชำระภาษีครบก่อนนำเข้า Stock

2

ไม่รับสินค้าเกินเข้า Stock แต่ใช้ในกิจการภายใน (ไม่ขาย)

- ไม่ต้องบันทึก Stock หากไม่ต้องการเก็บ แต่ควรมีบันทึกควบคุมภายในระบุจำนวนของเกิน

- การนำของเข้ามาใช้เองยังถือว่า “นำเข้า” ต้องเสียภาษีศุลกากรและ VAT นำเข้า
 - ไม่มีข้อยกเว้นว่าของใช้เองไม่ต้องเสียภาษี (ยกเว้นในเขตปลอดอากร/BOI/เขตส่งออก)

อากรขาเข้า
 VAT จากการนำเข้า

หากไม่ชำระภาษี ถือว่าครอบครองของยังไม่ผ่านศุลกากร มีความผิดตามกฎหมาย

3

แนวทางจัดการสินค้าส่วนเกินให้ถูกกฎหมาย

- เมื่อแก้ไขเอกสารและชำระภาษีครบ สามารถบันทึกเข้าระบบ Stock ได้
 - บันทึกต้นทุนตามนโยบายบัญชี (อาจเป็นศูนย์หรือเฉลี่ยกับสินค้า Lot ที่นำเข้ามาพร้อมกัน)

แนวทางที่ถูกต้อง:
 
 แจ้งแก้ไขใบขนและชำระภาษีขาด
 
 หากไม่ต้องการเก็บไว้ →
• ส่งกลับ (Re-export)
• สละสิทธิ์ให้รัฐ
   • ทำลายภายใต้การควบคุมศุลกากร

อากรขาเข้า
VAT จากการนำเข้า
 (และ VAT ขาย หากจำหน่ายภายหลัง)

แนวทางที่ปลอดภัยและประหยัดที่สุดคือ “แจ้งแก้ไขใบขน + ชำระภาษีครบ” เพื่อให้ของส่วนเกินถูกกฎหมาย



กฏหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 82/14 ให้ผู้นำเข้าเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและชำระภาษีสำหรับสินค้านำเข้าเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น โดยให้คำนวณจากฐานภาษีตามส่วน 3 และอัตราภาษีตามมาตรา 80

มาตรา 80 ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 10.0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีที่กำหนดไว้ในมาตรา 80/2
             (1) การขายสินค้า
             (2) การให้บริการ
             (3) การนำเข้า
 อัตราภาษีตามวรรคหนึ่งให้ลดลงได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ต้องกำหนดอัตราภาษีให้เป็นอัตราภาษีเดียวกันสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ และการนำเข้าทุกกรณี


พระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ.2560

 

ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ทางกรมศุลกากรได้ออกประกาศในการดำเนินพิธีการ ศุลกากรสำหรับการนำเข้า (e-Import) โดยมีเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง 

มาตรา 202 “ผู้ใดยื่น จัดให้ หรือ ยอมให้ผู้อื่นยื่นใบขนสินค้า เอกสาร หรือข้อมูลซึ่งเกี่ยวกับการเสียอากรหรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ถูกต้อง หรือไม่บริบูรณ์ อันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในรายการใดๆ ที่ได้แสดงไว้ในใบขนสินค้า เอกสาร หรือข้อมูลดังกล่าว ต่อพนักงานศุลกากร ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท” นั้น


ทางผู้นำเข้าเมื่อมีการสำแดงเอกสาร หรือข้อมูล สำหรับในการจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า และพบว่าไม่ถูกต้อง บริบูรณ์ โดยประสงค์แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงของของที่นำเข้าไม่ว่าจะพบก่อนหรือหลังการนำของออกจาก อารักขาศุลกากร ยอมมีความผิดตามกฎหมายศุลกากร แต่อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจในการกำหนดเกณฑ์เปรียบเทียบ งดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 202 ข้อ 5กรณีผู้กระทำความผิดตรวจพบ ความผิดเองว่ามีของเกินจากที่สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าภายหลังจากที่ได้รับมอบของไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว ร้องขอแก้ไขให้ถูกต้องโดยแสดงแจ้งชัดเป็นลายลักษณ์อักษรต่อพนักงานศุลกากร ก่อนที่พนักงานศุลกากรจะตรวจพบ ความผิด โดยไม่มีเหตุทุจริตด้วยประการใดๆ หรือไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าเป็นของที่นำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร” โทษปรับ 1,000 บาท และให้ชำระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามกฎหมาย และให้แก้ไขข้อมูล ใบขนสินค้าให้ถูกต้อง



อ้างอิงคำตอบ

 

เรื่อง

ปริมาณสินค้าที่แสดงในใบขนสินค้าไม่ตรงกับใบแจ้งหนี้และสินค้าที่นำเข้ามาจริง สามารถขอแก้ไขใบขนสินค้ากับกรมศุลกากรได้หรือไม่

แหล่งที่มา

Q&A อ.ศุทธิกานต์ กริชไกรวรรณ

วันที่


ประเภทภาษี


ข้อกฎหมาย

เกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ฐานความผิด มาตรา 202

คำถาม

บริษัทฯ มีซื้อสินค้าและนำเข้าสินค้ามาจากต่างประเทศ โดยได้นำเข้าผ่านพิธีการศุลกากร พร้อมชำระค่าอากรนำเข้าและภาษีไว้ครบถ้วนแล้ว ต่อมาตรวจสอบพบว่า ปริมาณสินค้าที่แสดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า ไม่ตรงกับใบแจ้งหนี้และสินค้าที่นำเข้ามาจริง โดยมิได้เจตนา กรณีนี้สามารถขอแก้ไขใบขนสินค้ากับกรมศุลกากรได้ไหมคะ

คำตอบ

กรณีบริษัทฯ นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ พร้อมชำระค่าอากรไว้อย่างถูกต้องแล้ว แต่ต้องการแก้ไขข้อผิดพลาดที่แสดงไว้ในใบขนสินค้า โดยบริษัทฯมิได้มีเจตนาในการที่จะหลบเลี่ยงการชำระค่าภาษีอากรที่ถูกต้อง กรณีนี้ใบขนฯที่บริษัทฯต้องการแก้ไข เป็นใบขนฯที่รับมอบไปจากศุลกากรแล้ว บริษัทฯจะต้องยื่นขอแก้ไขใบขนฯ ต่อหน่วยงานศุลกากร ณ ท่าที่นำเข้าเดิม โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจปล่อยเป็นผู้แก้ไข ซึ่งบริษัทฯจะต้องมีเอกสารชี้แจงตลอดจนหลักฐานประกอบคำกล่าวอ้างเหตุที่สำแดงข้อมูลผิด หากกรมศุลกากรพบว่า การแก้ไขนั้น เป็นเหตุให้ บริษัทฯชำระค่าภาษีอากรขาด กรมศุลกากรจะออกแบบแจ้งการประเมินอากร (กศก.115) พร้อมเงินเพิ่ม และค่าปรับ แต่หากการแก้ไขนั้น เป็นเหตุทำให้ค่าภาษีอากรเกิน กรมศุลกากรจะแจ้งผู้ยื่นขอแก้ไขว่าจะรับเงินคืนหรือไม่รับเงินคืน


เกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ฐานความผิด มาตรา 202


เรื่องศุลกากร ไว้ใจเรา Tax-EZ ศุลกากร.!!

สนใจใช้บริการติดต่อ : คุณอัญจนา สมแสง  

บริษัท เอเซีย อัลลิแอนซ์ พาร์ทเนอร์จำกัด

TEL : 02-261-8182  E-mail : unjana@aapth.com



เรื่อง

บริษัทฯ ได้รับสินค้าฟรีจากลูกค้าต่างประเทศ

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 08/02/2022 - วันที่ตอบ 25/04/2022

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

-

ปุจฉา

กรณีได้รับสินค้าฟรีจากผู้ขาย (ต่างประเทศ)

   บริษัทหนูเป็นบริษัทซื้อมาขายไป เคสนี้ซื้อจากต่างประเทศ ให้บริษัทที่ซื้อส่งให้ลูกค้าที่ต่างประเทศเลยคะ OUT-OUT แต่พอดีว่าอยากเห็นสินค้านี้ เลยให้ผู้ขายจากต่างประเทศส่งมาให้ดู 1 ชิ้น บริษัทฯ เสียค่าอากรขาเข้า ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าและภาษีนำเข้าตามปกติทุกอย่างต้องบันทึกบัญชีอย่างไรคะ ไม่รับเข้าสต๊อกได้ไหมคะ

วิสัชนา

กรณีบริษัทประกอบธุรกิจซื้อมาขายไปได้รับสินค้าฟรีจากผู้ขายต่างประเทศ บริษัทฯ เสียอากรขาเข้า ค่าใช้จ่ายในการนำเข้า และภาษีนำเข้าด้วยแล้วนั้น

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

บริษัทฯ ต้องบันทึกบัญชีสินค้าที่ได้นำเข้ามาด้วยราคาทุน ซึ่งเท่ากับ รายจ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศ



 

เครดิต อาจารย์ ดร. ก้อย Sirada Jarutakanont



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"



เรื่อง

ซื้อสินค้าจากต่างประเทศและได้รับของแถมมาฟรี นำมาแถมให้ลูกค้าและแจกเพื่อส่งเสริมการขาย / นำสินค้าฟรีมาบริจาค

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 23/06/2024 - วันที่ตอบ 19/07/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

มาตรา 79 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร, ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40)

ปุจฉา

บริษัทฯ ทำธุรกิจนำเข้าสินค้าเกมส์กระดาษจาก ตปท. เพื่อนำมาขายในประเทศไทย ในการนำเข้าสินค้ามา ทางคู่ค้ามักจะมีการแถมสินค้ามาให้ โดยออกรายการอยู่รวมในอินวอยซ์ของสินค้าหลัก แต่แสดงมูลค่าเป็น 0 สินค้าที่แถมมาจะเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งจะไม่ใช่แนวเดียวกับสินค้าหลักที่สามารถนำไปขายต่อได้ ทางคู่ค้ามีเจตนาจะให้บริษัทฯ นำไปเป็นของแถมคู่ไปกับสินค้าหลัก หรือนำไปใช้ในงานออกบูธ งานอีเวนท์ต่างๆที่บริษัทฯ มักจัดขึ้นหรือเข้าร่วมกับผู้จัดอื่น ๆ โดยแจกจ่ายหรือให้เป็นรางวัลแก่คนเข้าร่วมงาน

คำถาม

1. ตามความเข้าใจทางบัญชีจะบันทึกรายการสินค้าแถมดังกล่าว สินค้าที่แถมมาจะสามารถบันทึกรับเป็นเฉลี่ยต้นทุน หรือไม่ต้องบันทึกมูลค่าก็ได้ถูกต้องหรือไม่ครับ


2. จากข้อ 1. บริษัทฯ จะต้องลงรายงานสินค้าคงเหลือและวัตถุดิบอย่างไร


3. นำสินค้าแถมออกไปแถมกับการขายสินค้าหลัก ไม่ต้องคิดมูลค่าของสินค้าแถมเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่มใช่หรือไม่ครับแต่ในใบกำกับภาษ๊ เราจะแสดงราคาของสินค้าแถมเป็นราคาตลาดได้อย่างไร กรณีเราไม่สามารถประเมินได้


4. งานบูธ งานอีเวนต์ที่จัด ค่าใช้จ่ายต่างๆ จัดว่าเข้าข่ายเป็นค่าใช้จ่ายทางการตลาด หรือค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายครับ


5. นำสินค้าแถมไปแจกเป็นรางวัลในงานอีเวนต์ บูธ ที่จัดขึ้น จะต้องใช้มูลค่าอะไรเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่มครับ เพราะไม่สามารถประเมินราคาให้ได้ ส่วนบริษัทยังมีสิทธิใช้ภาษีซื้อ (นำเข้า) ได้อยู่หรือไม่ แล้วต้นทุนของสินค้าแถม (กรณีที่บันทึกมูลค่าเฉลี่ยนต้นทุน) สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายตามภาษีเงินได้นิติบุคคลได้หรือไม่


6. นำสินค้าทั้งหลัก หรือ ของแถม ในบางกรณีที่สินค้ามันไม่ได้มีความนิยมแล้ว (คาดว่าจะขายไม่ได้) ชำรุด ไปบริจาคให้สถานเด็กกำพร้า หรือ โรงเรียน เช่นนี้

    6.1 สินค้าหลัก ใช้ต้นทุนสินค้าเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้นทุนของสินค้าบริจาคใช้เป็นค่าใช้จ่ายตามภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ส่วนภาษีซื้อของสินค้าดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ (กรณีแบบนี้ใบเสร็จกรมศุลกากรเป็นยอดรวมและได้ใช้ยื่นภาษีซื้อไปแล้ว หากภายหลังสินค้าบางส่วนนำไปบริจาค ต้องยื่นภาษีซื้อยอดดังกล่าวติดลบในเดือนที่บริจาคใช่หรือไม่)

    6.2 สินค้าแถม ใช้มูลค่าอะไรเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้สิทธิภาษีซื้อ (กรณีที่บันทึกมูลค่าเฉลี่ยต้นทุน) สามารถใช้เป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคลได้หรือไม่

วิสัชนา

1. ตามมาตรา 79 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติรายการที่ไม่นับรวมเป็นมูลค่าของฐานภาษี ดังนี้  

    “มาตรา 79 ภายใต้บังคับมาตรา 79/1 ฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการ ได้แก่มูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ รวมทั้งภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในมาตรา 77/1 (19) ถ้ามีด้วย

         มูลค่าของฐานภาษีให้หมายความถึง เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการหรือประโยชน์ใด ๆ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน

(ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 118/2545 ประกอบ)

         มูลค่าของฐานภาษีไม่ให้รวมถึง

         (1) ส่วนลดหรือค่าลดหย่อนที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ลดให้ในขณะขายสินค้าหรือให้บริการและได้หักส่วนลดหรือค่าลดหย่อนดังกล่าวออกจากราคาสินค้าหรือราคาค่าบริการ โดยได้แสดงให้เห็นไว้ชัดแจ้งว่าได้มีการหักส่วนลดหรือค่าลดหย่อนไว้ในใบกำกับภาษีในแต่ละครั้งที่ออกแล้ว ทั้งนี้ เว้นแต่ส่วนลดหรือค่าลดหย่อนในการขายสินค้าหรือให้บริการของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อตามมาตรา 86/6 หรือมาตรา 86/7 ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะไม่แสดงส่วนลดหรือค่าลดหย่อนดังกล่าวให้เห็นชัดแจ้งไว้ในใบกำกับภาษีอย่างย่อก็ได้

         (2) ค่าชดเชยหรือเงินอุดหนุนตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี

         (3) ภาษีขาย

         (4) ค่าตอบแทนที่มีลักษณะ และเงื่อนไขตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี”  



 

2. อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) เรื่อง กำหนดลักษณะ และเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษี ตามมาตรา 79(4) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2535 กำหนดลักษณะ และเงื่อนไขค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษี ไว้ดังต่อไปนี้

    “ข้อ 2 ค่าตอบแทนที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการดังต่อไปนี้ ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษี

         (1) มูลค่าของสินค้าที่แถมพร้อมกับการขายสินค้า หรือการให้บริการไม่ว่าสินค้าที่แถมนั้นจะเป็นสินค้าประเภท และชนิดเดียวกับสินค้าที่ขายหรือบริการที่กระทำหรือไม่ แต่มูลค่าของสินค้าที่แถมจะต้องไม่เกินมูลค่าของสินค้าที่ขายหรือมูลค่าของการให้บริการ

         (2) มูลค่าของสินค้าที่แจกหรือให้เป็นรางวัลกับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการในแต่ละวัน โดยมีมูลค่ารวมกันตามที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนกำหนด แต่มูลค่าของสินค้าที่แจกหรือให้เป็นรางวัลต้องมีมูลค่าไม่เกินมูลค่าของสินค้าที่ขายหรือมูลค่าของการให้บริการ

         (3) มูลค่าของการให้บริการเนื่องจากการเป็นนายหน้าตัวแทนให้แก่ผู้ประกอบการในต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่ผู้ประกอบการในต่างประเทศดังกล่าวขายสินค้าหรือให้บริการกับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการในต่างประเทศด้วยกัน

         (4) มูลค่าของสินค้าที่ผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1(21) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ขายให้แก่ผู้ซื้อสินค้าในราชอาณาจักร และผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้นำเข้าตามมาตรา 77/1 (11) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ยื่นกระทำพิธีการนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรเมื่อนำสินค้านั้นออกจากเขตปลอดอากรแล้ว

              ผู้ซื้อสินค้าตามวรรคหนึ่ง ต้องมิใช่ผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (21) แห่งประมวลรัษฎากร หรือคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

         (5) มูลค่าของสินค้าที่ผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (21) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ขายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียน และผู้ประกอบการในเขตปลอดอากร ดังกล่าวซึ่งเป็นผู้นำเข้าตามมาตรา 77/1 (11) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ยื่นกระทำพิธีการนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรเมื่อนำสินค้านั้นออกจากเขตปลอดอากรแล้ว

              ผู้ซื้อสินค้าตามวรรคหนึ่ง ต้องมิใช่ผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (21) แห่งประมวลรัษฎากร หรือคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

          (6) มูลค่าของสินค้าที่แจกหรือให้เป็นของขวัญ เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น เทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์ การเปิดแนะนำสินค้าใหม่ทั้งนี้ เฉพาะสินค้าที่เป็นปฏิทิน สมุดบันทึกประจำวัน (Diary) หรือสินค้าที่มีลักษณะทำนองเดียวกันของขวัญหรือของชำร่วยที่มีชื่อผู้ประกอบการ ชื่อการค้า หรือเครื่องหมายการค้าของผู้ประกอบการปรากฏอยู่ โดยของขวัญหรือของชำร่วยดังกล่าว ต้องเป็นสิ่งของที่พึงให้แก่กันตามประเพณีทางธุรกิจทั่วไป และต้องมีราคาหรือมูลค่าไม่เกินสมควร

         (7) มูลค่าของสินค้าตัวอย่างที่แจก เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย

         (8) มูลค่าของอาหารและเครื่องดื่มที่นายจ้างจัดหาให้กับพนักงานหรือลูกจ้างในระหว่างเวลาปฏิบัติงาน ตามระเบียบเกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงานหรือลูกจ้าง โดยมูลค่าของอาหารและเครื่องดื่มดังกล่าวต้องมีราคาไม่เกินสมควร

         (9) มูลค่าของสินค้าที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/16 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ขายให้แก่ผู้ซื้อ โดยสินค้าดังกล่าวผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายได้นำเข้าจากต่างประเทศ และได้โอนสินค้าให้ผู้ซื้อยื่นใบขนสินค้าขาเข้าต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ณ ด่านศุลกากร เพื่อชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ตามมาตรา 83/8 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าจะต้องมีสำเนาใบเสร็จรับเงินของกรมศุลกากรที่ออกให้ผู้ซื้อพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้

         (10) มูลค่าของเครื่องแบบที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นนายจ้างได้มอบให้แก่ลูกจ้างในจำนวนคนละไม่เกินสองชุดต่อปี และเสื้อนอกในจำนวนคนละไม่เกินหนึ่งตัวต่อปี

               "เครื่องแบบ" ตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า เครื่องแต่งกายรวมทั้งสิ่งประกอบเครื่องแต่งกายที่กำหนดให้แต่งเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน แต่ไม่รวมถึงรองเท้าที่อาจใช้งานได้ทั่วไป ชุดชั้นใน หรือสิ่งประกอบเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยโลหะหรืออัญมณีมีค่า เช่น เงิน ทองคำ ทับทิม หยก

               "เสื้อนอก" ตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงชุดไทยพระราชทาน และเสื้อที่นิยมใช้ในการแต่งกายไปในงานสำคัญต่าง ๆ

         (11) มูลค่าของค่าตอบแทนที่พึงได้รับจากการมอบสินค้าให้ผู้ซื้อสินค้าทดสอบใช้งานก่อนซื้อ โดยสินค้าดังกล่าวไม่ใช่ของใช้สิ้นเปลืองและต้องเป็นสินค้าที่มีไว้สำหรับให้ทดลองใช้เป็นการชั่วคราว เพื่อทดลองคุณภาพหรือประสิทธิภาพของสินค้าเท่านั้น และผู้ซื้อสินค้าจะต้องส่งมอบสินค้าดังกล่าวคืนให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้ขายสินค้าเมื่อทดลองใช้เสร็จ..."



 

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

กรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการขายสินค้าเกมส์กระดาษซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ โดยในการนำเข้าสินค้ามา ทางคู่ค้ามักจะมีการแถมสินค้ามาให้ โดยออกรายการอยู่รวมในอินวอยซ์ของสินค้าหลัก แต่แสดงมูลค่าเป็น 0 สินค้าที่แถมมาจะเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งจะไม่ใช่แนวเดียวกับสินค้าหลักที่สามารถนำไปขายต่อได้ ทางคู่ค้ามีเจตนาจะให้บริษัทฯ นำไปเป็นของแถมคู่ไปกับสินค้าหลัก หรือ นำไปใช้ในงานออกบูธ งานอีเวนท์ต่างๆที่บริษัทฯ มักจัดขึ้นหรือเข้าร่วมกับผู้จัดอื่น ๆ โดยแจกจ่ายหรือให้เป็นรางวัลแก่คนเข้าร่วมงาน นั้น

 

1. ตามความเข้าใจทางบัญชีจะบันทึกรายการสินค้าแถมดังกล่าว สินค้าที่แถมมาจะสามารถบันทึกรับเป็นเฉลี่ยต้นทุน หรือไม่ต้องบันทึกมูลค่าก็ได้ ถูกต้องแล้วครับ ทั้งนี้ โดยเมื่อบริษัทฯ ได้เลือกปฏิบัติตามวิธีการใด ก็ให้ปฏิบัติตามวิธีการนั้นตลอดไป


2.จากกรณีตามข้อ 1. ให้บริษัทฯ บันทึกรายงานสินค้าคงเหลือและวัตถุดิบ ตามวิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป ดังเช่นการบันทึกรายการสินค้าตามปกติของบริษัทฯ กรณีที่บริษัทฯ เลือกใช้วิธีการไม่บันทึกมูลค่าสินค้าของแถม ก็ให้บันทึกเฉพาะปริมาณสินค้าเท่านั้น

 

3.กรณีนำสินค้าแถมออกไปแถมกับการขายสินค้าหลัก ไม่ต้องคิดมูลค่าของสินค้าแถมเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม หากบริษัทฯ ได้เลือกใช้วิธีการไม่บันทึกมูลค่าสินค้าของแถม

    สำหรับรายการในใบกำกับภาษี นั้น ตามข้อ 13 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 86/2542 เรื่อง  หลักเกณฑ์การจัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 และมาตรา 86/5 แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่มีลักษณะเป็นแบบเต็มรูป ลงวันที่ พ.ศ. 2542 กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับรายกาในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป สำหรับของแถม ดังนี้  

    “ข้อ 13 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งมีการแถมสินค้าพร้อมการขายหรือการให้บริการ ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องจัดทำใบกำกับภาษีโดยระบุชนิด ประเภท และปริมาณสินค้าที่แถมไว้ในใบกำกับภาษีฉบับเดียวกันกับสินค้าที่ขายด้วย แต่ไม่ต้องนำมูลค่าสินค้าที่แถมมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษี

         การแถมสินค้าตามวรรคหนึ่ง ผู้ประกอบการจดทะเบียนอาจจะไม่ได้ส่งมอบสินค้าที่แถมให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการพร้อมกับการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการก็ได้ต่อมาเมื่อมีการส่งมอบสินค้าที่แถมก็ไม่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้รับบริการอีก” 

    ทั้งนี้ เพื่อการพิสูจน์ว่า รายการของแถมนั้น เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 2 (1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) ฯ หรือไม่เพียงใด ดังนั้น กรณีที่บริษัทฯ ได้ของแถมมาฟรี และเลือกไม่แสดงมูลค่าของของแถม บริษัทฯ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงราคาของสินค้าแถม แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทไม่สามารถประเมินราคาตลาดได้ ตามข้อเท็จจริง


4. งานบูธ งานอีเวนต์ที่จัด ค่าใช้จ่ายต่างๆ จัดว่าเข้าข่ายเป็นค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย


5. การนำสินค้าแถมไปแจก เป็นรางวัลในงานอีเวนต์ บูธ ที่จัดขึ้น นั้น หากเป็นไปตามข้อ 2 (6) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) ฯ กล่าวคือ สินค้าที่แจกเป็นสินค้าตัวอย่างที่แจก เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย บริษัทฯ ก็ไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าที่แจกดังกล่าว มารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษี ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีสิทธิใช้ภาษีซื้อ สำหรับสินค้าที่นำเข้าได้ แล้วต้นทุนของสินค้าแถม (กรณีที่บันทึกมูลค่าเฉลี่ยต้นทุน) สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายตามภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) หรือ (13) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ



 

6. การนำสินค้าทั้งหลัก หรือของแถม ในบางกรณีที่สินค้ามันไม่ได้มีความนิยมแล้ว (คาดว่าจะขายไม่ได้) ชำรุด ไปบริจาคให้สถานเด็กกำพร้า หรือโรงเรียน นั้น

    6.1 กรณีหน่วยงานที่รับบริจาคเป็นองค์การสาธารณกุศลฯ ตามมาตรา 3 (4) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 ดังนี้

         “มาตรา 3 ให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการขายสินค้า ดังต่อไปนี้

              (4) การบริจาคสินค้าให้แก่

                   (ก) สถานพยาบาลและสถานศึกษา ของทางราชการ

                   (ข) องค์การหรือแก่สถานสาธารณกุศล หรือแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาอื่น นอกจากที่กล่าวใน (ก) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมาตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้แก่ องค์การสาธารณกุศลฯ ตามประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับที่ 2 กำหนดองค์การ สาธารณกุศลฯ) อาทิ

                        - สภากาชาดไทย วัดวาอาราม สถานพยาบาลขององค์การของรัฐบาล หรือสถานศึกษาของรัฐ

                        - สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษ แห่งสหประชาชาติ หรือสถาบันอุดมศึกษาซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ หรือโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน

                        - หอสมุด ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ของเอกชนที่เปิดให้ใช้เป็นการสาธารณะโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุงหรือเงินสนับสนุนใด ๆ และหอสมุด ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ของทางราชการ

                        - กองทุนผู้สูงอายุตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ และ สถานพักฟื้น บำบัดและฟื้นฟูเด็ก คนชรา ผู้พิการของเอกชนที่ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ค่าทำนุบำรุงหรือเงินสนับสนุนใด ๆ หรือสถานพักฟื้น บำบัด ฟื้นฟูเด็ก คนชรา ผู้พิการของทางราชการ

          เช่นนี้ ทั้งสินค้าหลักและสินค้าที่ได้รับแถม ย่อมได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักเกณฑ์ ดังกล่าวข้างต้น ใช้มูลค่าต้นทุนของสินค้าบริจาคใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือรายจ่ายเพื่อการศึกษา ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร

    6.2 กรณีหน่วยงานที่รับบริจาคไม่เข้าลักษณะเป็นองค์การสาธารณกุศลฯ ตามมาตรา 3 (4) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 เช่นนี้ บริษัทฯ ต้องนำมูลค่าสินค้าทั้งสินค้าหลัก และสินค้าแถม ตามมูลค่าต้นทุนมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีขายเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้ใช้มูลค่าต้นทุนของสินค้าบริจาคใช้เป็นค่าใช้จ่ายตามภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ซึ่งโดยทั่วไป ไม่คำนึงถึงภาษีซื้อที่บริษัทฯ ได้ใช้ไปแล้ว เนื่องจากมูลค่าของสินค้าที่บริจาคไม่เกิน 10% ของมูลค่าฐานภาษีที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์


หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ