Case study

การกำหนดราคาโอนของการโอนหุ้นระหว่างกัน


เรื่อง การกำหนดราคาโอนของการโอนหุ้นระหว่างกัน
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 05/04/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อกฎหมาย
คำถาม

กรณีการโอนหุ้นระหว่างกัน   

1. หุ้นที่ไม่ได้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือไม่ใช่หุ้นที่มีตลาดซื้อขาย ควรกำหนดราคาโอนหรือมูลค่าซื้อขายอย่างไร  

2. บันทึกบัญชีอย่างไร 

3. ภาระภาษีที่เกี่ยวข้อง

คำตอบ

ตอบ

การกำหนดราคาโอนหุ้น

สำหรับหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์(อ้างอิงข้อหารือเลขที่ กค 0706(กม.08)/843) ไม่มีราคาขายให้กับประชาชนทั่วไป โดยหลักคือ กำหนดราคาหุ้นที่ขายโดยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่คำนวณได้

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 

ทรัพย์สินที่มีอยู่ตามงบดุลในปีที่ผ่านมาของบริษัทฯ ซึ่งผ่านการรับรองโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต     xx      บาท

หัก หนี้สินทั้งหมด  xx   บาท

หาร   ด้วยหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้  xx   หุ้น

ตัวอย่าง ทรัพย์สิน   5 ล้าน   หนี้สิน     3 ล้าน  จำนวนหุ้นที่จดทะเบียน 10,000 หุ้น

คำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ   = (5 ล้าน -3 ล้าน )/10,000 = 200 บาท/หุ้น


การบันทึกบัญชี(ผู้ขาย-ผู้ซื้อ)

บุคคล-บุคคล >> ทั้งผู้ขาย และ ผู้ซื้อไม่มีหน้าที่ต้องบันทึกบัญชี

บุคคล-นิติบุคคล>>  ผู้ขาย ไม่มีหน้าที่ต้องบันทึกบัญชี และ ผู้ซื้อบันทึกบัญชี  Dr เงินลงทุน-บริษัท  xx  / Cr เงิน

นิติบุคคล-นิติบุคคล 

  • ขายหุ้นของตนเอง  

>> ผู้ขาย Dr  เงิน   xx  / Cr ส่วนของผู้ถือหุ้น และ ผู้ซื้อบันทึกบัญชี  Dr เงินลงทุน-บริษัท  xx  / Cr เงิน


  • ขายหุ้นที่ตนลงทุนในบริษัทอื่น   

>> Dr  เงิน   xx  / Cr เงินลงทุน-บริษัทและ ผู้ซื้อบันทึกบัญชี  Dr เงินลงทุน-บริษัท  xx  / Cr เงิน


ภาระภาษี  

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

  1. ผู้ซื้อที่เป็นบุคคล    ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
  2. ผู้ซื้อที่เป็นนิติบุคคล  

2.1)  ถ้าผู้รับไม่มีกำไร (ไม่มี Capital Gain)  บริษัท   ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

2.2)  ถ้าผู้รับมีกำไร (มี Capital Gain)  บริษัท   มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ดังนี้ 

 - ผู้ขายคือ นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย : ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายเนื่องจากไม่มีกฏหมายกำหนด 

-  ผู้ขายคือ นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ  : หัก  ณ ที่จ่าย 15% ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร (อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาอนุสัญญาภาษีซ้อนประกอบด้วยว่าได้มีการกล่าวยกเว้นหรือลดอัตราให้หรือไม่)

-  ผู้ขายคือ บุคคลธรรมดา(เป็นผู้อยู่ในไทย – อยู่ไทย 180 วันขึ้นไป)  : หัก  ณ ที่จ่าย ตามอัตราก้าวหน้า (ไม่ได้รับยกเว้น 150,000 บาทแรก) ตามมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร

-  ผู้ขายคือ บุคคลธรรมดา(มิได้เป็นผู้อยู่ในไทย – อยู่ไทยไม่ถึง 180 วัน)  : หัก  ณ ที่จ่าย 15% ตามมาตรา 50(2)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร


ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา – กรณีที่ขายขาดทุน 

  1. ผู้ขายที่เป็นบุคคล    สามารถขายขาดทุนได้ เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจประเมินรายได้เพิ่ม (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา)
  2. ผู้ขายที่เป็นนิติบุคคล    ไม่ควรขายขาดทุนได้ แต่ถ้าจะขายขาดทุน (ต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่คำนวณได้)  เจ้าหน้าที่มีอำนาจประเมินรายได้เพิ่ม  (ภาษีเงินได้นิติบุคคล) ตามมาตรา 65 ทวิ(4) แห่งประมวลรัษฎากร


ภาษีมูลค่าเพิ่ม / ภาษีธุรกิจเฉพาะ

  • ไม่มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีธุรกิจเฉพาะ


อากรแสตมป์

โอนใบหุ้น  ต้องติดอากรแสตมป์ 1,000 ละ 1  บาท ตามลักษณะแห่งตราสารที่ 2 


มาตรา 40  เงินได้พึงประเมินนั้นคือ เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้ รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด

  (4) เงินได้ที่เป็น

  (ช)ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วน โอนหน่วยลงทุน หรือโอนหุ้นหุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก รวมทั้งเงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นกองทุนรวม ทั้งนี้เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน




มาตรา 70 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2)(3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษีโดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น ทั้งนี้ ให้นำมาตรา 54 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

บัญชีอัตราภาษีเงินได้

" (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

   "(ข) ภาษีตามมาตรา 70 นอกจากที่ระบุใน (ค)                    ร้อยละ 15



 

มาตรา 50 ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้

(2) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ เว้นแต่

       (ก) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ(4)นอกจากที่ระบุไว้ใน (ข) (ค) (ง) และ (จ)ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้

 



 

คำสั่งกรมสรรพากร
  ที่ ท.ป. 4/2528
  เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย


“ข้อ 4ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(4)(ก)แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้หักภาษี ณ ที่จ่าย

“ข้อ 5 ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย สถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยแต่ไม่รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้และกิจการร่วมค้า ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือประโยชน์อื่นใดตามมาตรา 40 (4) (ข)แห่งประมวลรัษฎากร หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักไว้อัตราร้อยละ 10.0 กรณีจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทย หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย แต่ไม่รวมถึง



มาตรา 50 ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้

(2) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ เว้นแต่
       (ก) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) นอกจากที่ระบุไว้ใน (ข) (ค) (ง) และ (จ) ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้



 




อ้างอิง

เรื่อง

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร


วันที่

28/05/2001


เลขที่หนังสือ

กค 0811/5267


ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


ข้อกฎหมาย

มาตรา 40(4)(ช), มาตรา 50(2)


ข้อหารือ

     ท่านมีความประสงค์จะโอนขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท ซึ่งมิได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ในราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่ลงทุนไว้จึงขอทราบว่า กรณีดังกล่าวจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ และผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่อย่างไร


แนววินิจฉัย

     1. การโอนหุ้นในราคาสูงกว่ามูลค่าที่ลงทุนไว้ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ช) แห่งประมวลรัษฎากรและผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเมื่อสิ้นปี ตามมาตรา 56แห่งประมวลรัษฎากร
       2. การหักภาษี ณ ที่จ่าย
กรณีผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้นเฉพาะส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนผู้จ่ายเงินได้ดังกล่าวมีหน้าที่หักภาษีเงินได้โดยให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ ตามมาตรา 50(2) วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร


เลขตู้

64/30518




เรื่อง

ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีนำผลขาดทุนจากเงินลงทุนมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ


แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร


วันที่

08/06/2007


เลขที่หนังสือ

กค 0706/5694


ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล


ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ตรี (12)(13) และมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร


ข้อหารือ

     บริษัท ก. จำกัด ประกอบธุรกิจศูนย์การค้า เมื่อปี 2537 บริษัทฯ ลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท ข. จำกัด (ข. ) เป็นจำนวน 99,993 หุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท เพื่อให้ ข. ทำหน้าที่บริหารศูนย์การค้าให้กับบริษัทฯ เช่น จัดให้บริการในด้านระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าผู้เช่าที่ประกอบธุรกิจในศูนย์การค้า และประชาชนผู้มาใช้บริการ พร้อมทั้งเก็บเงินประกันสัญญาให้บริการภายในอาคารจากลูกค้าผู้เช่าให้แก่บริษัทฯ เป็นต้น โดย ข. มีรายได้จากค่าบริหารส่วนหนึ่งและค่าบริการจากส่วนกลางอีกส่วนหนึ่ง ต่อมาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงปี 2540 ถึง 2541 ข. ได้หยุดดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 และไม่สามารถนำเงินประกันสัญญาบริการของลูกค้าผู้เช่า จำนวน 8.3 ล้านบาท ส่งคืนแก่บริษัทฯ ซึ่งเมื่อรวมเงินประกันสัญญาบริการของลูกค้าผู้เช่า กับดอกเบี้ยของเงินประกันสัญญาบริการของลูกค้าตั้งแต่ปี 2543 ถึงปี 2547 ทำให้ ข. มีหนี้สินค้างชำระกับบริษัทฯ เป็นจำนวน 11.87 ล้านบาท และเพื่อให้ ข. มีเงินชำระหนี้กับบริษัทฯ เมื่อ ข. ได้มีมติพิเศษเพิ่มทุนในหุ้นสามัญ ข. ได้เสนอขายหุ้นสามัญให้กับบริษัทฯ จำนวน 113,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท ในวันที่ 30 สิงหาคม 2547 บริษัทฯ ได้ซื้อหุ้นดังกล่าว และได้ขายหุ้น ข. จำนวน 212,993 หุ้น (หุ้นเดิมจำนวน 99,993 + หุ้นใหม่จำนวน 113,000 = 212,993 หุ้น) ราคาหุ้นละ 0.07 สตางค์ เป็นจำนวนเงิน 149,000 บาท ให้แก่บริษัท ป. จำกัด เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2547
  
บริษัทฯ จึงหารือว่า บริษัทฯ สามารถนำผลขาดทุนจากเงินลงทุนในหุ้นดังกล่าวมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้หรือไม่


แนววินิจฉัย

     1. บริษัทฯ ลงทุนซื้อหุ้นสามัญจาก ข. ครั้งแรกเมื่อปี 2537จำนวน 99,993 หุ้นราคาหุ้นละ 100 บาทให้ ข. ทำหน้าที่บริหารศูนย์การค้าให้กับบริษัทฯ จึงเป็นการลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์ และหุ้นจำนวนดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯต่อมาบริษัทฯ ได้ขายหุ้นให้บริษัท ป. จำกัด เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2547 ในราคา หุ้นละ 0.07 สตางค์ (ซื้อมาราคาหุ้นละ 100 บาท) และเกิดผลขาดทุน กรณีย่อมถือได้ว่า ผลขาดทุน ดังกล่าวเป็นผลขาดทุนที่เกิดขึ้น เนื่องจากการประกอบกิจการของบริษัทฯ บริษัทฯ มีสิทธินำผลขาดทุน ที่เกิดจากการขายหุ้นดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ใน รอบระยะเวลาบัญชีที่ผลขาดทุนดังกล่าวเกิดขึ้น ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (12)และ(13) แห่งประมวลรัษฎากรแต่หากราคาหุ้นที่ขายต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินราคาหุ้น ตามราคาตลาดได้ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
  
     2. ข. ได้หยุดดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 ต่อมา ข. ได้มีมติพิเศษเพิ่มทุนในหุ้นสามัญและเสนอขายให้กับบริษัทฯ บริษัทฯ ได้ซื้อหุ้นดังกล่าวไว้จำนวน 113,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 โดยบริษัทฯ อ้างว่าเพราะ ข. มีหนี้สินค้างชำระกับบริษัทฯ จำนวน 11.87 ล้านบาท และไม่สามารถหาเงินมาชำระกับบริษัทฯ ได้ บริษัทฯ จึงซื้อหุ้นดังกล่าว เพื่อให้ ข. มีเงินชำระหนี้กับบริษัทฯ แต่บริษัทฯ ได้ขายหุ้นดังกล่าวไปในคราวเดียวกับหุ้นที่ซื้อครั้งแรก ในราคาหุ้นละ 0.07 สตางค์ ให้แก่บริษัท ป. จำกัด กรณีดังกล่าวถือได้ว่า บริษัทฯ ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะซื้อหุ้นของ ข. เพื่อลงทุนหาผลประโยชน์จากการดำเนินกิจการของ ข. แต่ต้องการนำผลขาดทุนจากการขายหุ้นดังกล่าวมาหักเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ กรณีจึงไม่ถือเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อหากำไรโดยเฉพาะ ดังนั้น บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำผลขาดทุนจากการขายหุ้นดังกล่าวมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร


เลขตู้

70/35004





เรื่อง

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย กรณีการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร


วันที่

27/10/1999


เลขที่หนังสือ

กค 0811/11010


ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย


ข้อกฎหมาย

มาตรา 40 (4) (ช), มาตรา 50 (2), มาตรา 56


ข้อหารือ

    นาย กได้ขายหุ้นของบริษัทจำกัด ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กำไรหุ้นละ 30 บาท โดยผู้ซื้อซึ่งเป็นบริษัทจำกัดได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไว้ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินกำไรจึงหารือว่า

     1. การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราดังกล่าวถูกต้องหรือไม่

     2. เมื่อถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปลายปีจะต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณภาษี หรือมีสิทธิเลือกเสียภาษีตามที่ถูกหักภาษีเงินได้ณ ที่จ่ายไว้


แนววินิจฉัย

     กำไรที่ได้จากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เฉพาะส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เข้าลักษณะเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ช) แห่งประมวลรัษฎากรดังนั้น

     1. ผู้จ่ายเงินได้ดังกล่าวจึงมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากรดังนั้น กรณีที่บริษัทฯ ผู้จ่ายเงินได้คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไว้ในอัตราร้อยละ 15.0 ของรายได้จึงไม่ถูกต้อง

     2. ผู้มีเงินได้มีหน้าที่นำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเมื่อสิ้นปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร และไม่มีสิทธิเลือกเสียภาษีตามที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด


เลขตู้

62/28463




 



 



 

เรื่อง

ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการกำหนดราคาขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์


แหล่งที่มา

ข้อหารือ กรมสรรพากร


วันที่

07/07/2006


เลขที่หนังสือ

กค 0706(กม.08)/843


ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล


ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ทวิ (3)(4) แห่งประมวลรัษฎากร


ข้อหารือ

     บริษัท A (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขายหุ้นในบริษัท B (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับบริษัท C ในประเทศญี่ปุ่น ข้อเท็จจริงสรุปได้ดังนี้
 1. บริษัทฯ ได้ลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัท B โฟรเซ่นฟูดส์ฯ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนตามกฎหมายไทยและมิได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 40.97 ราคามูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ (Par Value) หุ้นละ 100 บาท จำนวน 430,200 หุ้น รวมเป็นเงินจำนวน 43,020,000 บาท
 2. เดือนเมษายน 2546 บริษัทฯ ได้ขายหุ้นในบริษัท B ให้กับบริษัท C ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 388,600 หุ้น ราคาหุ้นละ 432.98 บาท รวมเป็นเงิน 168,256,028 บาท โดยหุ้นดังกล่าวไม่มีราคาขายให้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 129,396,028 บาท (388,600 หุ้น X 432.98 - 100) บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.50 ของรอบระยะเวลาบัญชี 1 เมษายน 2546 - มีนาคม 2547 โดยบริษัทฯ ได้นำเงินกำไรสุทธิจากการขายหุ้น จำนวน 129,396,028 บาท มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
         3. บริษัทฯ กับบริษัท B มีรอบระยะเวลาบัญชี 1 เมษายน - 31 มีนาคม ของทุกปี โดยในรอบระยะเวลาบัญชี 1 เมษายน 2545 - 31 มีนาคม 2546 ซึ่งเป็นรอบระยะเวลาบัญชีปีก่อนที่บริษัทฯ จะขายหุ้นในบริษัท B ให้กับบริษัท C ในประเทศญี่ปุ่น งบการเงินของบริษัท B ในส่วนของที่ดินและอาคารได้แสดงไว้ในราคาทุน มิได้มีการประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระให้เป็นราคาตลาดแต่อย่างใด โดยที่ดินและอาคารดังกล่าวใช้เป็นโรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งการเปรียบเทียบราคาซื้อขายที่ดินและอาคารในบริเวณใกล้เคียงในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อหาราคาตลาดของที่ดินและอาคารของบริษัท B เป็นเรื่องยาก เนื่องจากที่ดินและอาคารของบริษัทต่างๆ ในนิคมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานประกอบการในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น

     กรณีบริษัทฯ ขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์โดยไม่มีราคาขายให้กับประชาชนทั่วไปในขณะที่ขายและได้ขายให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกันในต่างประเทศนั้น การกำหนดราคาหุ้นที่ขายควรพิจารณาอย่างไร


แนววินิจฉัย

     1. กรณีบริษัทฯ ได้ขายหุ้นในบริษัท B ซึ่งเป็นหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ให้กับ บริษัท C ในประเทศญี่ปุ่นโดยไม่มีราคาขายให้กับประชาชนทั่วไป หากบริษัทฯ กำหนดราคาหุ้นที่ขายโดยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่คำนวณโดยนำทรัพย์สินที่มีอยู่ตามงบดุลในปีที่ผ่านมาของบริษัทฯ ซึ่งผ่านการรับรองโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตหักด้วยหนี้สินทั้งหมดแล้วหารด้วยหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้ ราคาหุ้นดังกล่าวถือเป็นราคาที่มีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
  

       2. กรณีเจ้าพนักงานประเมินจะประเมินราคาหุ้นดังกล่าว โดยนำทรัพย์สินในส่วนของที่ดินและอาคารซึ่งบริษัทฯ ได้บันทึกไว้ในราคาทุนมาประเมินราคาให้สูงขึ้นตามราคาที่ดินและอาคารในราคาปัจจุบัน เพื่อให้การคำนวณหาราคาหุ้นของบริษัทฯ มีมูลค่าสูงขึ้นนั้น เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจกระทำได้ เนื่องจากบริษัทฯ ต้องถือราคาที่ดินและอาคารตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นตามมาตรา 65 ทวิ(3) แห่งประมวลรัษฎากร นอกจากนี้ บริษัทฯ มิได้ขายที่ดินหรืออาคารอันจะเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทนดังกล่าวตามมาตรา 65 ทวิ(4) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด


เลขตู้

69/34350












 

เรื่อง

ภาระภาษีจากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 02/09/2021 - วันที่ตอบ 17/10/2021

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ทวิ (4), 40 (4)(ช) แห่งประมวลรัษฎากร ข้อหารือภาษีอากร เลขที่ กค 0811/5267 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2544

ปุจฉา

1. บริษัท A ถือหุ้นบริษัท B โดยบริษัท A ซื้อหุ้นบริษัท B ในราคาพาร์ หุ้นละ 10 บาท ต่อมาบริษัท B ทำธุรกิจไปเรื่อยๆ ขาดทุนทุกปี จนราคา Book value ลงมาเหลือ 2 บาทบริษัท A ทนไม่ไหว เลยขายหุ้นของบริษัท B ออกไปในราคาหุ้นละ 3 บาท

คำถาม

    บริษัท A ต้องเสียภาษีหรือไม่ เพราะขายหุ้นสูงกว่า Book แต่ต่ำกว่า par 



 

2. นาย C เข้าซื้อหุ้นของบริษัท B ในราคา 3 บาท จำนวน 100 หุ้น แต่นาย C มีหุ้นของบริษัท B ที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ จำนวน 200 หุ้น หุ้นละ 10 บาท นาย C ขายหุ้นทั้ง 300 หุ้นไปในราคา หุ้นละ 5 บาท

คำถาม

    นาย C ต้องเสียภาษีหรือไม่ กล่าวคือ นาย C เอาราคาหุ้นที่ซื้อมา 3 บาท มาหารรวมกันกับที่ขาดทุนก่อนหน้านี้ได้หรือไม่

บริษัท A และบริษัท B เป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์

วิสัชนา

ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติเงื่อนไขการรับรู้รายได้ตามราคาตลาดจากการโอนทรัพย์สิน เพื่อการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ดังต่อไปนี้

    “(4) ในกรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน โดยไม่มีค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ย หรือมีค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยนั้น ตามราคาตลาดในวันที่โอน ให้บริการหรือให้กู้ยืมเงิน”

ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า “เงินได้พึงประเมินนั้น คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้ รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด....

    (4) เงินได้ที่เป็น

        (ช) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วน โอนหน่วยลงทุน หรือโอนหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก รวมทั้งเงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นกองทุนรวม ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน"


  ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

    1. กรณีบริษัท A ซื้อหุ้นจากบริษัท B ในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท ต่อมาบริษัท B ได้ทำธุรกิจประสบผลขาดทุน ทำให้ราคา Book value คงเหลือ 2 บาท บริษัท A จึงขายหุ้นไปในราคา 3 บาท ซึ่งถือได้ว่าราคาหุ้นดังกล่าว ในเบี้องต้นถือได้ว่าเป็นราคาที่มีเหตุผลอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร และเนื่องจาก บริษัท A ขายหุ้นไป เมื่อตีราคาแล้วไม่เกินกว่าที่ลงทุน ดังนั้นบริษัท A จึงมีผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุน ไม่ก่อให้เกิดเงินได้ที่ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

       อย่างไรก็ตาม บริษัท A ต้องอธิบายเหตุผลว่า ทำไมจึงไม่สามารถขายหุ้นในราคา 5 บาทได้ เช่นเดียวกับนาย C ตามข้อ 2 ซึ่งหากอธิบายได้ว่า มีเหตุอันสมควร ก็อาจต้องถูกประเมินรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5 บาทต่อหุ้นได้ ตามความในมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร



 

    2.ตามแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรตามหนังสือข้อหารือภาษีอากร เลขที่ กค 0811/5267 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 กรมสรรพากรได้วินิจฉัยว่า “การโอนหุ้นในราคาสูงกว่ามูลค่าที่ลงทุนไว้ ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ช) แห่งประมวลรัษฎากร และผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเมื่อสิ้นปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร” แต่เนื่องจากนาย c ซื้อหุ้นเดิมจากบริษัท B หุ้นละ 10 บาท และซื้อจากบริษัท A ในราคาหุ้นละ 3 บาท รวม 200 หุ้น ได้ขายหุ้นไปทั้งหมดในราคาหุ้นละ 5 บาท ซึ่งนาย C จะต้องนำหุ้นในแต่ละคราวที่ซื้อมาพิจารณาแยกจากกัน ไม่สามารถรวมกันเพื่อให้เป็นขาดทุนได้ ในส่วนหุ้นที่ซื้อจากบริษัท B มีผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ๆ ละ 2 บาท ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ช) แห่งประมวลรัษฎากร ที่นาย C มีหน้าที่ต้องกำไรจากการขายหุ้นจำนวน (100*2) = 200 บาท ไปรวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินในแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90 เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อสิ้นปีภาษี


   

เครดิต อาจารย์ Puklee Leelasupasakul

ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"




ลักษณะแห่งตราสาร

อากรแสตมป์

ผู้ที่ต้องเสียอากร

ผู้ที่ต้องขีดฆ่า

แสตมป์


 2. โอนใบหุ้น ใบหุ้นกู้ พันธบัตร และใบรับรองหนี้ ซึ่งบริษัท สมาคม คณะบุคคลหรือองค์การใด ๆ เป็นผู้ออก

     คิดตามราคาหุ้นที่ชำระแล้วหรือตามราคาในตราสาร แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท

     ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร                                 

     ก. โอนพันธบัตรของรัฐบาลไทย                         

     ข. โอนใบหุ้น ใบหุ้นกู้ และใบรับรองหนี้ซึ่งสหกรณ์หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นผู้ออก

 





 1 บาท





 ผู้โอน





 ผู้รับโอน


หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ