กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาเงินได้พึงประเมินจากการประกอบธุรกิจการให้บริการอันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร (ตามข้อ 2.1 (2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 115/2545) ดังนี้ หากผู้มีเงินได้หลักฐานในการประกอบกิจการให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ได้ประกอบกิจการในรูปแบบของการทำธุรกิจ และสามารถพิสูจน์รายจ่ายในการประกอบกิจการได้ ซึ่งต้องมีลักษณะการประกอบกิจการดังนี้ (1) ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน (เว้นแต่จะได้รับยกเว้นกรณีมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท) และ (2) ได้จัดตั้งเป็นสำนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีอาคารสำนักงานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง หรือเช่าจากบุคคลอื่น โดยมีหลักฐาน เช่น หลักฐานการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าสำนักงาน และ (3) มีการลงทุนด้วยการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน และ (4) มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงานในการประกอบกิจการ โดยมีหลักฐานตามสัญญาจ้างแรงงาน หลักฐานการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และหลักฐานการแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง ในกรณีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่มีภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายและนำส่ง จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นรายการเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงานตามแบบ ภ.ง.ด.1 ก. และ (5) มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ เช่น ค่ารับรอง หรือค่าบริการเพื่อประโยชน์ในการติดต่องานกับลูกค้า
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า กรณีผู้ประกอบการบุคคลธรรมดา นอกจากเงินได้ประจำจากการรับจ้างแรงงาน อันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว ยังมีเงินได้จากการลงทุนในเเฟรนไซส์ เคอรี่ โดยได้รับส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่น 15% จากรายได้ค่าขนส่ง นั้น หากตามข้อตกลงกำหนดให้ Franchisee ของ Kerry Express ได้รับค่าคอมมิชชั่น ซึ่งโดยทั่วไปเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากหากผู้มีเงินได้หลักฐานในการประกอบกิจการให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ได้ประกอบกิจการในรูปแบบของการทำธุรกิจ และสามารถพิสูจน์รายจ่ายในการประกอบกิจการได้ ซึ่งต้องมีลักษณะการประกอบกิจการตามข้อ 2.1 (2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 115/2545 ดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมอนุโลมให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ โดยผู้มีเงินได้ต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินและพิสูจน์ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายมากกว่านั้น ก็ยอมให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร ทั้งนี้ ให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้าตามหลักฐานที่นำมาพิสูจน์นั้น ปรากฏว่ามีรายจ่ายที่หักได้ตามกฎหมายน้อยกว่าอัตราค่าใช้จ่ายที่กำหนดไว้ข้างต้น ก็ให้ถือว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงเท่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ ตามมาตรา 46 ประกอบมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ไม่สามารถหักค่าใช้่จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 60% ของเงินได้ได้ เว้นแต่เงินได้จากการขายกล่องพัสดุ Kerry Express ผู้ประกอบการสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 60% ของเงินได้ หรือจะเลือกหักค่าใช่จ่ายตามความจำเป็นและสมควรมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ก็ได้ |