Case study

ซื้อเครื่องจักรจากบริษัทต่างประเทศโดยทำสัญญาผ่อนชำระไม่มีดอกเบี้ย


เรื่อง ซื้อเครื่องจักรจากบริษัทต่างประเทศโดยทำสัญญาผ่อนชำระไม่มีดอกเบี้ย
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 17/12/2024
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม,อากรแสตมป์
ข้อกฎหมาย
คำถาม

บริษัท ซื้อเครื่องจักรจากบริษัทต่างประเทศโดยทำสัญญาผ่อนชำระไม่มีดอกเบี้ย มีคำถามดังนี้

1 .  เมื่อบริษัท ผ่อนชำระ จะต้องนำส่ง ภ.พ.36  หรือไม่ 

 2.  บันทึกบัญชีราคาทุนของเครื่องจักรอย่างไร เเละต้อง ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันใด (วันนำเข้า หรือวันผ่อนชำระ)  

 3.  เมื่อผ่อนชำระต้องติดอากรแสตมป์หรือไม่

คำตอบ


ตอบ 1  จากคำถามระบุว่าเป็นการ ซื้อเครื่องจักร  ข้าใจว่าเมื่อบริษัทนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาแล้วโดยชำระให้กับกรมศุลกากร(ที่เก็บแทนกรมสรรพากร)    ดังนั้นถือว่าบริษัทได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ตามมาตรา 77/2 และ 78/2 แห่งประมวลรัษฏากร  ต่อมาเมื่อบริษัทจ่ายชำระแต่ละงวด บริษัทจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำส่ง ภ.พ.36 อีก


มาตรา 77/2 การกระทำกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักรให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามบทบัญญัติในหมวดนี้

(2) การนำเข้าสินค้าโดยผู้นำเข้า


มาตรา 78/2 ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการนำเข้าให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

    (1) การนำเข้านอกจากที่อยู่ในบังคับตาม (2) (3) หรือ (4) ให้ความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อชำระอากรขาเข้า วางหลักประกันอากรขาเข้า หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาเข้า เว้นแต่กรณีที่ไม่ต้องเสียอากรขาเข้าหรือได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ก็ให้ถือว่าความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่มีการออกใบขนสินค้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร



ตอบ 2  ด้านบัญชี มองว่า การผ่อนชำระ 100 งวด (ข้ามเส้น 1 ปี)  ถึงแม้จะระบุว่าไม่มีดอกเบี้ย แต่แท้ที่จริงแล้ว จะถือว่ามีดอกเบี้ยแฝงอยู่ในค่างวดแล้ว ดังนั้น ทางบัญชีจะต้องรับรู้ราคาทุนโดยการคำนวณแยกยอดดอกเบี้ยออกมา โดยมี 2 วิธีการคือ

  1. ดอกเบี้ยตามนัย คือ ดอกเบี้ยที่ต้อง Discount ออกมาเพื่อให้มูลค่ากลับมาเท่า
  2. ดอกเบี้ยส่วนเพิ่ม คือ กรณีที่คิดวิธีดอกเบี้ยตามนัยไม่ได้   ให้ประเมินดูว่า ถ้าบริษัทจะต้องนำยอดเครื่องจักรนี้นี้ไปทำสัญญากู้กับธนาคาร เทียบประมาณ 3 ธนาคาร และนำอัตรานี้ไป


          ด้านภาษี  รับรู้ตามมูลค่าของตัวเลขที่จ่ายจริงเท่านั้น คือ คำนวณค่าเสื่อมจากมูลค่าที่จ่ายจริง คือ ให้ถือตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นได้ตามปกติ ตามมาตรา 65ทวิ(3)  และเครื่องจักรนี้ถือเป็น รายจ่ายฝ่ายทุน  มาตรา 65ตรี(5) ซึ่งต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65ทวิ(2)  ประกอบกับ พระราชกฤษฏีกา 145   


          มาตรา 65 ทวิการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิในส่วนนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  (3) ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจาก (6) ให้ถือตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นได้ตามปกติและในกรณีที่มีการตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ห้ามมิให้นำราคาที่ตีราคาเพิ่มขึ้นมารวมคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ส่วนทรัพย์สินรายการใดมีสิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาก็ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราเดิมที่ใช้อยู่ก่อนตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น โดยให้หักเพียงเท่าที่ระยะเวลา และมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่สำหรับทรัพย์สินนั้นเท่านั้น


          อัตราแลกเปลี่ยน ในการบันทึกบัญชีให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ทรัพย์สินเป็นของบริษัท (ตามเงื่อนไข Incoterm) เช่น กรณีที่ซื้อเครื่องจักร ด้วยเงื่อนไข CIF หรือ FOB วันที่จะต้องตั้งหนี้และบันทึกทรัพย์สินระหว่างติดตั้ง(ระหว่างนำเข้า) จะคืออัตราแลกเปลี่ยน(อัตราขาย) ณ วันที่ของออกจากท่าเรือ/สนามบิน ที่ต่างประเทศ (T) หรืออัตราแลกเปลี่ยน(อัตราขาย) ย้อนหลัง 1 วัน (T-1) 


เรื่อง

การใช้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 13/07/2024 - วันที่ตอบ 20/07/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.132/2548

ปุจฉา

ผมมีความสับสนเรื่องการใช้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ สำหรับรายการที่เกิดขึ้นในรอบบัญชี จึงอยากข้อคำแนะนำ/อธิบายจากอาจารย์ครับ

    ตาม ป. 132/2548 ตามรูปที่ 1 ที่ไฮไลท์ สรรพากรแนะแนวทางให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยน ตามวันที่ที่เกิดรายการนั้น เช่น ตามตัวอย่างเกิดรายการวันที่ 3 มีนาคม 2548 ก็อิงจากหน้าเวบของ BOT เลือกเรทที่ประกาศวันที่ 3 มีนาคม 2548 (ซึ่งมันจะเป้นอัตราเฉลี่ยจริงๆของสิ้นวันที่ 2 มีนาคม 2548) 

    ต่อมาผมได้ทราบว่า ทาง BOT ได้มีการปรับเปลี่ยนการประกาศข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อปี 2553 โดยประกาศของวันใดก็จะเป็นข้อมูลอัตราเฉลี่ยๆจริงของวันนั้น (ส่วนป.132/2548 เป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงของ BOT อันนี้พอเข้าใจได้)

    การเปลี่ยนแปลงนี้ ผมได้ค้นหาข้อมูลที่อาจารย์ได้เคยอธิบายตามคลิปต่างๆ หรือกระทู้ต่างๆ จนมีความเข้าใจว่า หากรายการเกิดขึ้นวันที่ 12/7/2567 อัตราแลกเปลี่ยนที่ผมจะใช้ก็ต้องเลือกเป็นวันที่ 11/7/2567 จากเว็บ BOT ตามหลักบัญชี รูปที่ 2 จะบอกให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนทันทีและเป็นของวันที่เกิดรายการ ซึ่งเท่ากับว่าผมต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนจากเวบโดยเลือกวันที่ 12/7/2567 

    ถึงตรงนี้ผมมองว่า ทางบัญชีกับภาษีเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้มันแทบจะแตกต่างกันไปตลอด กรณีที่ผมบันทึกสินค้าจากต่างประเทศ เช่นนี้ผมก็ต้องบันทึกรายการทั้งบัญชีและทางภาษีคู่กันไปตลอดแบบนี้หรือครับผมไม่แน่ใจว่าอาจารย์เข้าใจที่ผมถามหรือไม่ หรือว่าผมอาจจะเข้าใจประเด็นหรือหลักการผิดไป รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

วิสัชนา

1. ตามข้อ 3 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.132/2548 เรื่อง การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 มาตรา 65 ทวิ (5) มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 79/4 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2548 กรมสรรพากรวางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณค่าหรือราคาของเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามราคาตลาดในวันที่รับมาหรือจ่ายไปนั้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้

    “ข้อ 3 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับมาหรือจ่ายไปซึ่งเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวคำนวณค่าหรือราคาของเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามราคาตลาดในวันที่รับมาหรือจ่ายไปนั้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

         ราคาตลาดตามวรรคหนึ่ง กรณีการบันทึกบัญชี ณ วันที่เกิดรายการทรัพย์สิน หรือหนี้สิน หมายถึง

         (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อหรืออัตราขาย) หรือ

         (2) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยหรืออัตราขายถัวเฉลี่ย)

         ราคาตลาดตามวรรคหนึ่ง กรณีการได้รับเงินหรือจ่ายเงินเป็นเงินตราต่างประเทศ หมายถึง อัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นจริงในทางปฏิบัติจากการนำเงินสกุลบาทไปแลกเป็นเงินสกุลต่างประเทศ หรือเกิดจากการนำเงินสกุลต่างประเทศไปแลกเป็นเงินสกุลบาท

         ตัวอย่าง

         (1) บริษัท ก จำกัด ประกอบกิจการขายเม็ดพลาสติก ได้มีการขายเม็ดพลาสติกให้แก่บริษัทในต่างประเทศ โดยตกลงราคาสินค้าเป็นหน่วยเงินตราต่างประเทศ บริษัท ก จำกัด ดำเนินการส่งออกสินค้าและบันทึกบัญชีในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 บริษัท ก จำกัด    มีสิทธิใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการบันทึกบัญชีเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้

              (1/1) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (อัตราซื้อ) ของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในวันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 หรือ

              (1/2) ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยซึ่งจะเป็น SIGHT หรือ T/T ก็ได้) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทำการประจำวันพุธที่ 2 มีนาคม 2548”

    กรณีที่ 1กรณีบริษัทฯ ได้รับหรือจ่ายเงินสกุลเงินตราไทย สำหรับเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ที่มีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ ที่ได้รับมาหรือจ่ายไป (เงินสด) นั้น ก็ให้บริษัทฯ บันทึกรายการบัญชีตามอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจริง (Actual Rate) ตามข้อ 3 (1) คือ “(1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อหรืออัตราขาย)”   

    กรณีที่ 2กรณีบริษัทฯ มีรายการทางบัญชีที่ได้รับมาหรือจ่ายไปเป็นเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ที่มีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ ซึ่งยังคงค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ (เงินแห้งหรือเครดิต) ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ให้บริษัทฯ เลือกใช้ราคาตลาดตามในการบันทึกบัญชี ณ วันที่เกิดรายการทรัพย์สิน หรือหนี้สิน วิธีการใด วิธีการหนึ่ง ดังนี้ และเมื่อได้เลือกใช้วิธีการใดแล้ว ก็ให้ใช้วิธีการนั้นตลอดไป ห้ามมิให้เปลี่ยนแปลง เว้นแต่จะได้รับอนมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงได้

         (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประกาศไว้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อหรืออัตราขาย) หรือ

         (2) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยหรืออัตราขายถัวเฉลี่ย)

    กรณีบริษัทฯ เลือกใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามวิธีที 2 ตามอัตราอ้างอิงประจำวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ในการคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในแต่ละวัน (อัตราซื้อถัวเฉลี่ยหรืออัตราขายถัวเฉลี่ย) เช่น หากรายการเกิดขึ้นวันที่ 12/7/2567 อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ ต้องเลือกเป็นวันที่ 11/7/2567 จากเวบไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามความเข้าใจดังกล่าว ถูกต้องแล้ว


  

2. ตามหลักบัญชีกำหนดให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนทันที และเป็นของวันที่เกิดรายการ นั้น สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางภาษีอากรตามที่กล่าวข้างต้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"



เรื่อง

การใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการบันทึกบัญชี ตามมาตรา 65 ทวิ (5)

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 11/02/2023 - วันที่ตอบ 15/02/2023

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 132/2548

ปุจฉา

ขอคำแนะนำการปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรและคำสั่งสรรพากร ตามมาตรา 65 ทวิ (5)


ตามมาตรา 65 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร นั้น ให้กิจการที่มิใช่สถาบันการเงินใช้อัตราซื้อในการรับรู้สินทรัพย์ รายได้ และอัตราขายในการรับรู้หนี้สิน จ่ายค่าใช้จ่าย + ภาระภาษีที่เกี่ยวข้อง ผมได้อ่านคำสั่งสรรพากร ที่ ป. 71/2541 และ ป.132/2548 + ข้อหารือ ซึ่งทำให้ผมสับสนดังนี้

    1.ตกลงแล้วการตีราคาทรัพย์สิน/หนี้สิน ใช้คำสั่งสรรพากรที่ ป.132/2548 เพื่อเป็นไปตามมาตรา 65 ทวิ เท่านั้นใช่ไหมครับ

    2.ป.71/2541 และข้อหารือ จะถูกยกเลิกไม่มีผลบังคับใช้ถูกต้องไหมครับแต่ทำไมกรมสรรพากรถึงยังไม่ยกเลิกคำสั่งนี้และยกเลิกข้อหารือที่อ้างอิงคำสั่งนี้ครับ

    3. อ้างอิงจากคำสั่งสรรพากรที่ ป. 132/2548 "อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันที่ 3 มี.ค. 2548 เป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทำการประจำวันที่ 2 มีนาคม 2548" หมายความว่าหากผมบันทึกบัญชีย้อนหลัง และปริ้นหน้าอัตราแลกเปลี่ยนของเว็บไซด์ ธปท. อัตราแลกเปลี่ยนที่โชว์ในหน้าเว็บ คืออัตราแลกเปลี่ยน T-1 หรือครับ หากวันที่รับรู้รายการไม่ตรงกับวันหยุดราชการ

วิสัชนา

1. เกี่ยวกับการตีราคาเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ที่มีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศนั้น ในทางปฏิบัติให้ผู้ประกอบการถือปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 132/2548 เพื่อเป็นไปตามาตรา  65 ทวิ (5) แห่งประมวลรัษฎากร เท่านั้น ถูกต้องแล้วครับ



 

2. คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.71/2541 และข้อหารือ ใดที่ที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 132/2548 ให้เป็นอันยกเลิก ไปตามความในข้อ 11 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 132/2548 ย่อมไม่มีผลบังคับใช้ ถูกต้องแล้วครับ

    การกรมสรรพากรยังไม่ยกเลิก เพิกถอนคำสั่งนี้และยกเลิกข้อหารือที่อ้างอิงคำสั่งที่ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 71/2541 ออกไปจากระบบสารสนเทศ นั้น อาจยังมีผลกระทบที่เกิดจากการปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 71/2541 ที่ใช้ใจการตรวจสอบภาษีอากร การอุทธรณ์ภาษี และการเป็นคดีความในชั้นศาล แต่เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 71/2541 ถูกยกเลิกไปโดยปริยายแล้ว  



 

3. อ้างอิงจากคำสั่งสรรพากรที่ ป. 132/2548 "อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2548 เป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทำการประจำวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2548 นั้น เป็นการวางแนวทางปฏิบัติในชั้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2548 ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งใช้เฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว

    แต่จะเห็นได้ตามตัวอย่างที่ (4/2) ของข้อ 3 กรณีบันทึกบัญชีในวันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ.  2548 นั้น ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิงประจำวัน (อัตราขายถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไว้ ณ วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ สิ้นวันทำการประจำวันศุกร์ที่ 29 เมษายน2548  เนื่องจากในวันทำการสุดท้ายของเดือนหนึ่งเดือนใด ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกประกาศอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ  สิ้นวันทำการนั้นอีกหนึ่งฉบับ

    ซึ่งในปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปลี่ยนวิธีการประกาศอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของเงินสกุลต่าง ๆ ณ  สิ้นวันทำการนั้น ทุกวันแล้ว ดังนั้น การบันทึกบัญชีย้อนหลัง และปริ้นหน้าอัตราแลกเปลี่ยนของเว็บไซด์ธนาคารแห่งปะเทศไทย อัตราแลกเปลี่ยนที่โชว์ในหน้าเว็บ คืออัตราแลกเปลี่ยนประจำวันนั้นๆ “T” หากวันที่รับรู้รายการไม่ตรงกับวันหยุดราชการ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะ

คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์"





ตอบ 3  จากคำถามที่ว่า สัญญาผ่อนชำระต้องติดอากรแสตมป์หรือไม่นั้น ขอแยกตอบดังนี้


ประเภท

ต้องติดอากรหรือไม่

ซื้อเครื่องจักร และ ผ่อน (การผ่อนไม่ใช่เช่าซื้อ แต่เป็นเพียงเงื่อนไขในการชำระเงินเท่านั้น 

ถือเป็นสินค้า (ทรัพย์สิน)  ไม่ต้องติดอากรแสตมป์

เช่าซื้อเครื่องจักร

เช่าซื้อทรัพย์สิน ต้องติดอากร แสตมป์

ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาทหรือเศษของ 1,000 บาท ติด 1 บาท  (ตามบัญชีอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสารที่ 3)



บัญชีอัตราอากรแสตมป์

ลักษณะแห่งตราสาร

อากรแสตมป์

ผู้ที่ต้องเสียอากร

ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์

3. เช่าซื้อทรัพย์สิน

ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาทหรือเศษของ 1,000 บาทแห่งราคาทั้งหมด

     ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร

เช่าซื้อทรัพย์สินใช้ในการทำนา ไร่ สวน

 



 1 บาท



 ผู้ให้เช่า



 ผู้เช่า

หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ