Case study

ระยะเวลา การเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษี


เรื่อง ระยะเวลา การเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษี
แหล่งที่มา Case study
วันที่ 26/06/2025
ประเภทภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย
คำถาม

บริษัทเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 

คำถาม

1.  บริษัทต้องเก็บเอกสารกี่ปี เเละ เก็บเอกสารอะไรบ้าง

2.  การเก็บเอกสาร

     2.1)  กำหนดให้ต้องจัดเก็บมี 5 ประเภท  คือ  ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ สำเนาใบกำกับภาษีขาย  รายงานภาษีซื้อ  รายงานภาษีขาย   เเละ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ เท่านั้นใช่หรือไม่ 

     2.2)  รายงานภาษีซื้อ  รายงานภาษีขาย    สามารถจัดเก็บเป็นรูปแบบ excel หรือ PDF และ save ไว้ใน computer ได้หรือไม่  หรือต้องเก็บในรูปแบบกระดาษเท่านั้น 

     2.3)  เอกสารการจ่ายชำระเงิน และรับชำระเงิน จำเป็นต้องเก็บด้วยหรือไม่

คำตอบ


ตอบ 1บริษัทต้องเก็บเอกสารกี่ปี เเละ เก็บเอกสารอะไรบ้าง 


ลำดับ

ประเภทเอกสาร/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียดเอกสารที่ต้องจัดเก็บ

ระยะเวลาการเก็บรักษา

อ้างอิงกฎหมาย

1

เอกสารบัญชีทั่วไป

สมุดบัญชี, เอกสารประกอบการลงบัญชี

ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันปิดบัญชี (สูงสุด 7 ปี หากรัฐมนตรีกำหนด)

มาตรา 14 พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ. 2543

2

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประเมินภาษี

เอกสารรายรับ รายจ่าย สัญญา หลักฐานการชำระภาษี

อาจถูกเรียกย้อนหลังได้สูงสุด 10 ปี

มาตรา 23 แห่งประมวลรัษฎากร  

มาตรา 193/31 แห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์

3

เอกสารภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ใบกำกับภาษี, สำเนา, รายงานภาษีซื้อ-ขาย, เอกสารประกอบอื่นๆ เช่น การส่งออก ต้องมีใบขนสินค้าขาออก เป็นต้น

ไม่น้อยกว่า 5 ปี (สูงสุด 7 ปี หากอธิบดีกำหนด)

มาตรา 87/3 (3) แห่ง ประมวลรัษฎากร

4

เอกสารกรณีเลิกกิจการ

เอกสารบัญชี, ภาษี และหลักฐานการชำระบัญชี การเคลียร์ทรัพย์สิน

บริษัทได้รับอนุมัติให้เลิกบริษัทเรียบร้อยแล้ว  

อย่างน้อย 2 ปี หลังจากเลิกกิจการ

มาตรา 87/3 (2) แห่ง ประมวลรัษฎากร

คู่มือใบกำกับภาษี


พรบ การบัญชี 2543 

มาตรา 14 ผู้มีหน้าที่จัดทําบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ตนองใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ เป็นเวลาไม่น้อย กว่าห้าปีนับแต่วันปิดบัญชีหรือจนกว่าจะมีการส่งมอบบัญชีและเอกสารตามมาตรา 17

เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบบัญชีของกิจการประเภทใดประเภทหนึ่งให้อธิบดีโดยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีมีอํานาจกําหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทําบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ตนองใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ เกินห้าปีแต่ไม่เกินเจ็ดปีได้


ประมวลรัษฎากร

มาตรา 23ผู้ใดไม่ยื่นรายการ ให้อำเภอหรือเจ้าพนักงานประเมินแล้วแต่กรณี มีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้นั้นมาไต่สวน และออกหมายเรียกพยานกับสั่งให้ผู้ที่ไม่ยื่นรายการหรือพยานนั้นนำบัญชีหรือพยานหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ แต่ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันส่งหมาย


ประมวลรัษฎากร

มาตรา 87/3ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษี และผู้มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เก็บและรักษารายงานใบกำกับภาษี สำเนาใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเอกสารประกอบการลงรายงานดังกล่าว หรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกำหนดไว้ ณ สถานประกอบการที่จัดทำรายงานนั้น หรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกำหนด เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงานแล้วแต่กรณี เว้นแต่

 ( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.71/2540 )

(1) ในกรณีผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราวตามมาตรา 85/3 การเก็บรักษารายงานและเอกสารดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด แต่ระยะเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินกว่าห้าปี
     (2) ในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน หรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษี หรือผู้มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงาน เก็บและรักษารายงานและเอกสารดังกล่าวข้างต้น ที่ตนมีหน้าที่ต้องเก็บรักษาอยู่ในวันเลิกประกอบกิจการต่อไปอีกสองปี
     (3) ในกรณีที่เห็นสมควร อธิบดีจะกำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเก็บและรักษาไว้เกินห้าปีก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี
     การเก็บใบกำกับภาษีและเอกสารหลักฐานอื่นที่ใช้ประกอบการลงรายงานภาษีซื้อตามมาตรา 87 (2) ให้จัดเก็บเรียงตามลำดับ และตรงตามรายการในรายงานและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด



คู่มือใบกำกับภาษีกรมสรรพากร

 



ประมวลแพ่งและพาณิชย์หมวด กำหนดอายุความ

มาตรา 193/31  สิทธิเรียกร้องของรัฐที่จะเรียกเอาค่าภาษีอากรให้มีกำหนดอายุความสิบปี ส่วนสิทธิเรียกร้องของรัฐที่จะเรียกเอาหนี้อย่างอื่นให้บังคับตามบทบัญญัติในลักษณะนี้


อ้างอิง

เลขที่หนังสือ

: กค 0811(กม.04)/พ.17

วันที่

: 17 มกราคม 2544

เรื่อง

: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีระยะเวลาการเก็บเอกสาร

ข้อกฎหมาย

: มาตรา87/3

ข้อหารือ

:      บริษัทฯ ได้หารือกรณีกำหนดระยะเวลาการเก็บเอกสารบัญชี ตามพระราชบัญญัติการบัญชี
 พ.ศ. 2543ว่าเมื่อเก็บเอกสารดังกล่าวไว้เป็นระยะเวลา 5 ปีแล้ว หลังจากนั้นจะสามารถทำลาย
เอกสารดังกล่าวได้หรือไม่ และการเก็บรักษาเอกสารภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องเก็บไว้เป็นระยะเวลา
 เดียวกันหรือไม่ อย่างไร

แนววินิจฉัย

:      พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543มาตรา 5 ได้บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
 รักษาการตามพระราชบัญญัติ และตามมาตรา 14 ได้บัญญัติให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและ
 เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันปิดบัญชีหรือจนกว่าจะมีการ
 ส่งมอบบัญชี และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชี
 และเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เกินห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดปีได้

      ส่วนการเก็บรักษาเอกสารภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 87/3 กำหนดให้
 ผู้ประกอบการจดทะเบียน ต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการ
 ภาษีหรือวันทำรายงาน แล้วแต่กรณี และในกรณีที่เห็นสมควร อธิบดีจะกำหนดให้เก็บและรักษาไว้เกินห้าปี
 ก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี

เลขตู้

: 64/30201


เลขที่หนังสือ

: กค 0706/4151

วันที่

: 20 เมษายน 2550

เรื่อง

: ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการเก็บรักษาบัญชี และเอกสารประกอบการลงบัญชี

ข้อกฎหมาย

: มาตรา87/3มาตรา 23มาตรา 83/6 และมาตรา 91/16 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

:         บริษัทฯ ประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2534 เนื่องจากเอกสารเกี่ยวกับบัญชีในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทฯ มีจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ ประสบปัญหาในการเก็บรักษาเอกสาร บริษัทฯ จึงขอทราบว่า จะต้องเก็บรักษาเอกสารดังกล่าวเป็นระยะเวลาห้าปี ใช่หรือไม่

แนววินิจฉัย

:         1. การเก็บรักษาเอกสารตามประมวลรัษฎากร ตามมาตรา87/3แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ต้องเก็บและรักษารายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี และสำเนาใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเอกสารประกอบการรายงานหรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดไว้ ณ สถานประกอบการหรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงาน แล้วแต่กรณี และในกรณีที่เห็นสมควร อธิบดีกรมสรรพากรจะกำหนดให้เก็บและรักษาไว้เกินห้าปีก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีหน้าที่จะต้องเก็บและรักษารายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี และสำเนาใบกำกับภาษีพร้อมทั้งเอกสารประกอบการรายงานไว้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดปี

         อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกหรือมีอำนาจเรียกเก็บภาษีอากรจากผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี ตามมาตรา 23 มาตรา 83/6 และมาตรา 91/16 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งประมวลรัษฎากร มิได้กำหนดระยะเวลาดำเนินการ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกหรือประเมินภาษีอากรได้ภายใน 10 ปี* ทั้งนี้ ตามมาตรา 193/31 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี จึงต้องมีเอกสารเกี่ยวกับการประกอบกิจการเพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบในกรณีดังกล่าว

         2. สำหรับบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี บริษัทฯ มีหน้าที่เก็บรักษาตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์

เลขตู้

: 70/34865

( * อ้างอิง 10 ปี ได้จาก มาตรา 193/31  สิทธิเรียกร้องของรัฐที่จะเรียกเอาค่าภาษีอากรให้มีกำหนดอายุความสิบปี ส่วนสิทธิเรียกร้องของรัฐที่จะเรียกเอาหนี้อย่างอื่นให้บังคับตามบทบัญญัติในลักษณะนี้)



เรื่อง

การจัดทำ ระยะเวลาการจัดเก็บเอกสาร และการทำลายเอกสารทางบัญชี

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 25/03/2024 - วันที่ตอบ 31/03/2024

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543, มาตรา 87/3 แห่งประมวลรัษฎากร

ปุจฉา

ขอปรึกษาและขอคำแนะนำ เรื่อง การจัดทำ การจัดเก็บเอกสาร และการทำลายเอกสารทางบัญชี ให้เป็นไปตามหลักฐานตามประมวลรัษฎากรที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอเล็กทรอนิกส์ค่ะ

วิสัชนา

1. ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543

     มาตรา 5 ได้บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัติ และตามมาตรา 14 ได้บัญญัติให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันปิดบัญชีหรือจนกว่าจะมีการส่งมอบบัญชี และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เกินห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดปีได้



 

2. กรณีการเก็บรักษาเอกสารภาษีมูลค่าเพิ่ม

    มาตรา 87/3 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้ประกอบการเก็บเอกสารรายงาน ใบกำกับภาษี สำเนาใบกำกับภาษีพร้อมทั้งเอกสารประกอบการลงรายงาน ประกอบการลงรายงาน ณ สถานประกอบการที่จัดทำรายงานหรือสถานที่อื่นตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงาน และในกรณีที่เห็นสมควร อธิบดีจะกำหนดให้เก็บและรักษาไว้เกินห้าปีก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี

    อย่างไรก็ตาม ตามมาตรา 193/31 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องที่รัฐจะเรียกเอาค่าภาษีอากรเป็นเวลา 10 ปี

ดังนั้นจึงควรจัดเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี


    ดังนั้น สำหรับการจัดทำ การจัดเก็บเอกสาร และการทำลายเอกสารทางบัญชี ให้เป็นไปตามหลักฐานตามประมวลรัษฎากร ที่มีข้อความอยู่ในรูปแบบของข้อมูลอเล็กทรอนิกส์ มิได้มีข้อกำหนดเป็นอย่างอื่น จึงให้จัดเก็บเป็นกำหนดเวลาเดียวกับเอกสารที่เป็นรูปแบบกระดาษ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆ มาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะคลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์




เรื่อง

การเก็บรักษาเอกสารทางบัญชี

แหล่งที่มา

Facebook อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

วันที่

วันที่ถาม 05/02/2021 - วันที่ตอบ 31/03/2021

ประเภทภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ข้อกฎหมาย

มาตรา 87/3 แห่งประมวลรัษฎากร, พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543

ปุจฉา

ขอเรียนสอบถามเกี่ยวกับ เอกสารด้านบัญชีและภาษีอากร

เนื่องจากนับวันเอกสารบัญชีและภาษีของทางบริษัทฯ นับวันยิ่งเพิ่มขี้นเรื่อยๆ จึงอยากสอบถาม ถึงหลักเกณฑ์ในการเก็บเอกสาร และวิธีทำลายเมื่อถึงเวลาที่กฏหมายกำหนด  ในส่วนของหลักเกณฑ์ในการเก็บเอกสาร จำเป็นจะต้องเก็บไว้ที่สถานประกอบการเท่านั้นไหมคะ หากบริษัทฯ จะฝากเอกสารบัญชีภาษีอากร สำหรับปีเก่าๆ กับบริษัทรับฝากเอกสารเช่นนี้ บริษัทฯ ทำได้ใช่ไหมคะ ทางภาษีอายุความ 10 ปี
 
จึงอยากทราบว่า
 
เอกสารบัญชีภาษีจำเป็นต้องเก็บไว้อย่างน้อย 10 ปี เข้าใจถูกต้องไหมคะ หากทำลายก่อน ได้ไหมคะ กรณีบริษัทอยากทำลายเอกสารบัญชีภาษีของปีเก่า ๆ ของบริษัท

รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีที่ถูกต้องตามหลักภาษีอากรด้วยค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์สุเทพล่วงหน้าค่ะ

วิสัชนา

1. การเก็บรักษาเอกสารตามประมวลรัษฎากร

      ตามมาตรา 87/3 แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ต้องเก็บและรักษารายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี และสำเนาใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเอกสารประกอบการรายงานหรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดไว้ ณ สถานประกอบการหรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงาน แล้วแต่กรณี และในกรณีที่เห็นสมควร อธิบดีกรมสรรพากรจะกำหนดให้เก็บและรักษาไว้เกินห้าปีก็ได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีหน้าที่จะต้องเก็บและรักษารายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี และสำเนาใบกำกับภาษีพร้อมทั้งเอกสารประกอบการรายงานไว้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดปีอย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกหรือมีอำนาจเรียกเก็บภาษีอากรจากผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี ตามมาตรา 23 มาตรา 83/6 และมาตรา 91/16 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งประมวลรัษฎากร มิได้กำหนดระยะเวลาดำเนินการ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกหรือประเมินภาษีอากรได้ภายใน 10 ปี ทั้งนี้ ตามมาตรา 193/31 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี จึงต้องมีเอกสารเกี่ยวกับการประกอบกิจการเพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบในกรณีดังกล่าว (หนังสือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/4151 ลงวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2550)

2. สำหรับบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี บริษัทฯ มีหน้าที่เก็บรักษาตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้

     2.1 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการ หรือสถานที่ทำการ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิต หรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานประจำ เว้นแต่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีจะได้รับอนุญาตจากสารวัตรใหญ่บัญชี หรือสารวัตรบัญชี ให้เก็บรักษาบัญชี และเอกสารประกอบการลงบัญชี ไว้ ณ สถานที่อื่นได้ในกรณีที่จัดทำบัญชีด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องมืออื่นใดในสถานที่อื่นใดในราชอาณาจักร ที่มิใช่สถานที่ทำการ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิต หรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานประจำ แต่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องมือนั้นมายังสถานที่ดังกล่าว ก็ให้ถือว่าได้มีการเก็บรักษาบัญชีไว้ ณ สถานที่ดังกล่าวแล้ว

     2.2 การเก็บรักษาบัญชี และเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่อื่นตามประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง การเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบ การลงบัญชีไว้ ณ สถานที่อื่น และการแจ้งบัญชี หรือเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีสูญหายหรือเสียหาย กำหนดหลักเกณฑ์ในการการเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีดังนี้

         (1) ให้ยื่นคำขอเก็บรักษาบัญชี และเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่อื่น ตามแบบที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด และเอกสารประกอบคำขออนุญาตตามรายละเอียดดังต่อไปนี้ ต่อสำนักงานบัญชีที่สถานที่ทำการ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิต หรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานประจำนั้นตั้งอยู่ หรือต่อสำนักงานกลางบัญชีที่สำนักกำกับดูแลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าก็ได้ และในระหว่างรอการอนุญาตให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ในสถานที่ที่ยื่นขอนั้นไปพลางก่อนก็ได้ (มาตรา 13 วรรคสอง)

         (2) กรณีที่มีความประสงค์เปลี่ยนแปลงข้อความหรือรายการใด ๆ ตามที่ได้ยื่นคำขอและได้รับอนุญาตไว้แล้ว ให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชียื่นคำขอแก้ไข ตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อความหรือรายการนั้นๆ

     2.3 ระยะเวลาในการเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี (มาตรา 14) ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชี และเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี นับแต่วันปิดบัญชี หรือจนกว่าจะมีการส่งมอบบัญชี และเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี ภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันเลิกประกอบธุรกิจเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบบัญชีของกิจการประเภทใดประเภทหนึ่ง ให้อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีอำนาจกำหนดให้ ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชี และเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เกินห้าปี แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปีได้

ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า

       บริษัทฯ สามารถฝากเอกสารประกอบการลงบัญชี และภาษีอากร สำหรับปีเก่าๆ กับบริษัทรับฝากเอกสารได้ โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นในทางภาษีอากร กำหนดอายุความการประเมินไว้ 10 ปี จึงควรเก็บรักษาเอกสารประกอบการลงบัญชี และภาษีอากร ไว้อย่างน้อย 10 ปี แล้วจึงค่อยทำลาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่อนุญาตให้นำความรู้ดีๆมาเเบ่งปันใน Website Tax-EZ ค่ะคลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตาม FB เพจ "อาจารย์ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ "




ตอบ 2    ประเภทเอกสารตามมาตรา 87/3  และวิธีในการเก็บเอกสาร

 ตามประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน  

จัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 ประเภท  ตาม มาตรา 87 แห่งประมวลรัษฎากร   

  1. รายงานภาษีขาย
  2. รายงานภาษีซื้อ

(3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบเฉพาะผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการขายสินค้า

 

จัดเก็บ ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อตาม มาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร    


จัดทำใบกำกับภาษีและ สำเนา    ตาม มาตรา 86แห่งประมวลรัษฎากร    


จัดเก็บ รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย สำเนาใบกำกับภาษีขาย พร้อมทั้งเอกสารประกอบ  ตาม มาตรา 87/3 แห่งประมวลรัษฎากร    



สรุป 

คำถาม      2.1)  กำหนดให้ต้องจัดเก็บมี 5 ประเภท  คือ  ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ สำเนาใบกำกับภาษีขาย  รายงานภาษีซื้อ  รายงานภาษีขาย   เเละ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ เท่านั้นใช่หรือไม่

คำตอบ  ใช่ค่ะ แต่ว่าต้องเพิ่ม เอกสารประกอบ เช่น ถ้าส่งออกสินค้า ก็จะมีใบขนสินค้าขาออก    สินค้าสูญหายก็จะมีใบแจ้งความ   การนำเข้า ก็จะมีใบขนขาเข้า  เป็นต้น   

  1. ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ + เอกสารประกอบ (ถ้ามี)
  2. สำเนาใบกำกับภาษีขาย  + เอกสารประกอบ (ถ้ามี)
  3. รายงานภาษีซื้อ 
  4. รายงานภาษีขาย  
  5. รายงานสินค้าและวัตถุดิบ 


คำถาม    2.2)  รายงานภาษีซื้อ  รายงานภาษีขาย    สามารถจัดเก็บเป็นรูปแบบ excel หรือ PDF และ save ไว้ใน computer ได้หรือไม่  หรือต้องเก็บในรูปแบบกระดาษเท่านั้น

คำตอบ  สามารถเก็บได้ค่ะ เนื่องจากรายงานปกติ จะทำในคอมพิวเตอร์ (Excel หรือ โปรแกรมสำเร็จรูป อยู่แล้ว)  ถ้าอนาคตเจ้าหน้าที่ขอ ก็สามารถ Re-Print ได้  แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าควรเก็บเป็นกระดาษ โดยปะหน้าเอกสาร ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ และ ปะหน้าสำเนาใบกำกับภาษีขาย จะดีกว่านะคะ ไม่เชข่นนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะหาเอกสารไม่เจอ หรือ เอกสารรายงานไม่ตรงกับเอกสารใบกำกับ 


คำถาม  2.3)  เอกสารการจ่ายชำระเงิน และรับชำระเงิน จำเป็นต้องเก็บด้วยหรือไม่

คำตอบ   จำเป็นต้องเก็บรักษาค่ะ ทั้งนี้ ตาม  มาตรา 14 แห่ง พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543  และ  มาตรา 23 แห่งประมวลรัษฎากร  

มาตรา 87ภายใต้บังคับมาตรา 87/1 และมาตรา 87/2 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่จัดทำรายงานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังต่อไปนี้
(1) รายงานภาษีขาย
(2) รายงานภาษีซื้อ
(3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบเฉพาะผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการขายสินค้า
 
            ( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.45/2537 )
             ( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.51/2537 )
ในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 82/16 ให้มีหน้าที่จัดทำรายงานมูลค่าของฐานภาษี และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
รายงานที่ต้องจัดทำตามวรรคหนึ่งและวรรคสองให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกำหนด และให้จัดทำเป็นรายสถานประกอบการ
วิธีลงรายการในรายงานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด และการลงรายการให้ลงภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ได้มาหรือจำหน่ายออกไปซึ่งสินค้าหรือบริการนั้น ทั้งนี้ เว้นแต่ในกรณีจำเป็น อธิบดีจะกำหนดเป็นอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้
             ( ดูประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) )
             ( ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.51/2537 )



มาตรา 82/5 ภาษีซื้อในกรณีดังต่อไปนี้ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3
             (1) กรณี
ไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อ เว้นแต่เป็นกรณีมีเหตุอันสมควรตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด


มาตรา 86ภายใต้บังคับมาตรา 86/1 มาตรา 86/2 และมาตรา 86/8 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนจัดทำใบกำกับภาษีและสำเนาใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้า หรือการให้บริการทุกครั้ง และต้องจัดทำในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น พร้อมทั้งให้ส่งมอบใบกำกับภาษีนั้นแก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ส่วนสำเนาใบกำกับภาษีให้เก็บรักษาไว้ตามมาตรา 87/3

 


มาตรา 87/3 ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษี และผู้มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เก็บและรักษารายงานใบกำกับภาษี สำเนาใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเอกสารประกอบการลงรายงานดังกล่าว หรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกำหนดไว้ ณ สถานประกอบการที่จัดทำรายงานนั้น หรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกำหนด เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงานแล้วแต่กรณี เว้นแต่..



พรบ การบัญชี 2543 

มาตรา 14 ผู้มีหน้าที่จัดทําบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ตนองใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ เป็นเวลาไม่น้อย กว่าห้าปีนับแต่วันปิดบัญชีหรือจนกว่าจะมีการส่งมอบบัญชีและเอกสารตามมาตรา 17

เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบบัญชีของกิจการประเภทใดประเภทหนึ่งให้อธิบดีโดยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีมีอํานาจกําหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทําบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ตนองใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ เกินห้าปีแต่ไม่เกินเจ็ดปีได้


ประมวลรัษฎากร

มาตรา 23ผู้ใดไม่ยื่นรายการ ให้อำเภอหรือเจ้าพนักงานประเมินแล้วแต่กรณี มีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้นั้นมาไต่สวน และออกหมายเรียกพยานกับสั่งให้ผู้ที่ไม่ยื่นรายการหรือพยานนั้นนำบัญชีหรือพยานหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ แต่ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันส่งหมาย

หมายเหตุ : TAX CASE STUDY จาก Tax-EZ Website เป็นเพียงเคสตัวอย่างเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลก่อนนำไปใช้อ้างอิง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีขึ้น ข้อตกลงและนโยบายความเป็นส่วนตัว
ยอมรับ